ตอนที่ 3 - เซเปียนส์ครองโลกได้อย่างไร

โดย ดร. สุวินัย ภรณวลัย

หากพิจารณาจากในแง่เชาว์ปัญญา​ เมื่อล้านปีก่อน​ เซเปียนส์ก็เป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด ในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ อยู่แล้ว​แถมยังเป็นแชมป์โลกในด้านการสร้าง​เครื่องมือ​อีกด้วย แต่ถึงกระนั้น​เซเปียนส์ในตอนนั้น ก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่สลักสำคัญใดๆเลย​และสร้างผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อระบบนิเวศที่ล้อมรอบตัวเองอยู่ ในตอนนั้น​ เซเปียนส์ยังขาดลักษณะ ประการที่สาม​ที่นอกเหนือไปจากเชาว์ปัญญา และการสร้างเครื่องมือ​เพื่อทำให้ครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ เมื่อตรวจสอบบันทึกประวัติศาสตร์​ เรากลับไม่พบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างเชาว์ปัญญา และความสามารถในการสร้างเครื่องมือของมนุษย์ แต่ละคน​กับอำนาจของสปีขีส์ของเราโดยรวม

เมื่อ​ 20,000 ปีก่อน​โดยเฉลี่ยแล้ว​ เซเปียนส์ในสมัยนั้นมีเชาว์ปัญญา และทักษะการสร้างเครื่องมือดีกว่าเซเปียนส์เฉลี่ยในปัจจุบันเสียอีก​… ในเรื่องของการเอาชีวิตรอด แต่แม้กระนั้น​ เซเปียนส์เมื่อ​ 20,000​ ปีก่อนก็ยังอ่อนแอกว่าเซเปียนส์ในปัจจุบันมากนัก ปัจจัยประการที่สามที่ทำให้เซเปียนส์ครองโลกใบนี้ได้ คือ «ความสามารถที่จะเชื่อมต่อคนมากมายเข้าด้วยกัน» แม้สมองของคนปัจจุบัน ดูเหมือนจะเล็กกว่าสมองของเซเปียนส์เมื่อสองหมื่นปีที่แล้วก็ตาม มนุษย์ในทุกวันนี้เป็นใหญ่บนดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างสมบูรณ์​ หาใช่เพราะคนแต่ละคนฉลาดเหนือกว่าสัตว์ต่าง ๆ มาก​ หรือเพราะมีนิ้วที่แคล่วคล่องว่องไวกว่าชิมแปนซีหรือหมาป่า แต่เพราะเซเปียนส์ เป็นสปีชีส์เพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้ที่มีความยืดหยุ่นมากพอ ที่จะร่วมมือกันแบบกลุ่มคนจำนวนมากได้ต่างหาก​

มดและผึ้งเรียนรู้ที่จะร่วมมือเป็นกลุ่มก้อนนานนับล้าน ๆ ปีก่อนเซเปียนส์ก็จริง​ แต่ความร่วมมือของมดและผึ้ง ขาดความยืดหยุ่น​ จึงไม่สามารถออกแบบระบบสังคมขึ้นใหม่ชั่วข้ามคืน และไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ หรือโอกาสใหม่ ๆ ได้​ ไม่เหมือนเซเปียนส์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่กันเป็นสังคมอย่างช้างและชิมแปนซี​ ร่วมมือกันได้อย่างยืดหยุ่นมาก​ แต่พวกมันทำเช่นนั้น​ได้แค่เพียงกลุ่มเล็ก ๆ บนความคุ้นเคยส่วนตัวเท่านั้น มีแค่เซเปียนส์เท่านั้น ที่สามารถร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่นมาก ๆ ในหมู่คนแปลกหน้าโดยไม่จำกัดจำนวน ความสามารถอย่างเป็นรูปธรรม แบบนี้เองที่ใช้อธิบายเรื่องความเป็นเจ้าผู้ครองดาวเคราะห์โลกของเซเปียนส์ได้ มิใช่คำอธิบายด้วย «วิญญาณอันเป็นนิรันดร์» ตามคำตอบแบบเอกเทวนิยมดั้งเดิม

หนังสือ​ Homo​ Deus แหลมคมยิ่งเมื่อเสนอว่า การปฏิวัติเกษตรกรรม​ทำให้เกิดศาสนาแบบเทวนิยม แต่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ก็ให้กำเนิดศาสนาแบบมนุษย์นิยม​ ซึ่งมนุษย์ได้เข้ามาแทนที่ เทพเจ้าทั้งหลายในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของตัวตน ในหนังสือ Homo​ Sapiens กล่าวว่า การพัฒนาประวัติศาสตร์ของเซเปียนส์มาจากการปฏิวัติ​ 3 ​ครั้ง​คือ

  1. » การปฏิวัติการรับรู้» ที่ทำให้เกิดภาษา
  2. «การปฏิวัติเกษตรกรรม» ที่ทำให้เกิดศาสนาแบบเทวนิยม
  3. «การปฏิวัติวิทยาศาสตร์» ที่ทำให้เกิดศาสนาแบบมนุษย์นิยม​ในรูปของอุดมการ์เสรีนิยม, คอมมิวนิสต์(สังคมนิยม)​และลัทธินาซี

จะเห็นได้ว่า​ผู้เขียน Homo​ Sapiens​ และ​ Homo​ Deus ได้ใช้มรรควิธีของ​ «ทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์» แบบเดียวกับมาร์กซ์​แต่ในรูปแบบที่อัปเกรดกว่า​และตัดเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นออกไปในฐานะที่เป็นแรงขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง ในการปฏิวัติเกษตรกรรม​ มนุษย์ได้ ​»ปิดปาก» สัตว์และพืชในป่า ​ซึ่งต่างจากยุคก่อนที่มนุษย์ยังสื่อสารกับสัตว์ป่าและพืชในป่าได้ ​เพราะมนุษย์ปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์และพืชใหม่ ​โดยเอาสัตว์เลี้ยงและพืชเพาะปลูก​ เข้ามาทดแทนสัตว์ป่าและพืชในป่าแทบจะสิ้นเชิง

ในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์…. มนุษย์ได้ «ปิดปาก» เทพเจ้าด้วยเช่นกัน​เหลือแค่การแสดงเดี่ยวบนเวทีของมนุษย์เท่านั้น ในอนาคตอันใกล้​ การปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเริ่มต้น​ ​… อัลกอริทึมจะเป็นฝ่าย ​»ปิดปาก» มนุษย์อย่างแน่นอน ลัทธิอัลกอริทึม คือแนวคิดแบบทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่สุดโต่งล่าสุด​ ในการใช้อธิบายชีวิตและวิวัฒนาการของสรรพสิ่ง อารมณ์ความรู้สึกถูกลดทอนให้เป็นอัลกอริทึมทางชีวเคมี สิ่งมีชีวิตก็คืออัลกอริทึม​ การปฏิเสธการดำรงอยู่ ของวิญญาณที่เป็นนิรันดร์แบบเอกเทวนิยม ของนักวิทยาศาสตร์สายชีวภาพและสายวิวัฒนาการยังพอเข้าใจได้และยอมรับได้​ แต่การสุดโต่งจนถึงขั้นปฏิเสธการดำรงอยู่จริงของจิต​(consciousness)​ หรือจิตสำนึก​ผมว่ามากไป

เพราะคนพวกนี้มองว่า​ จิตเกิดจากปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีภายในสมองเท่านั้น​ ทฤษฎีชีววิทยาในปัจจุบันไม่มองว่าความทรงจำ​ จินตนาการ​และความคิดของคนเราอยู่เหนือเกินขอบเขตของวัตถุ​ ทำให้สรุปแบบรวบรัดว่า​ ชีวิตเป็นแค่เรื่องของการประมวลข้อมูลเท่านั้น การจะได้ประโยชน์จากการอ่าน​ Homo​ Sapiens, Homo​ Deus โดยสมบูรณ์​ ​เราจะต้องรู้ทันข้อจำกัดเชิงญาณวิทยาของหนังสือเล่มนี้ที่ยึดติดอยู่กับกรอบทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์​และลัทธิลดทอนนิยมเชิงชีววิทยา​ให้ได้ก่อน