หากพิจารณาจากในแง่เชาว์ปัญญา เมื่อล้านปีก่อน เซเปียนส์ก็เป็นสัตว์ที่ฉลาดที่สุด ในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ อยู่แล้วแถมยังเป็นแชมป์โลกในด้านการสร้างเครื่องมืออีกด้วย แต่ถึงกระนั้นเซเปียนส์ในตอนนั้น ก็ยังเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไม่สลักสำคัญใดๆเลยและสร้างผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อระบบนิเวศที่ล้อมรอบตัวเองอยู่ ในตอนนั้น เซเปียนส์ยังขาดลักษณะ ประการที่สามที่นอกเหนือไปจากเชาว์ปัญญา และการสร้างเครื่องมือเพื่อทำให้ครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ เมื่อตรวจสอบบันทึกประวัติศาสตร์ เรากลับไม่พบความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างเชาว์ปัญญา และความสามารถในการสร้างเครื่องมือของมนุษย์ แต่ละคนกับอำนาจของสปีขีส์ของเราโดยรวม
เมื่อ 20,000 ปีก่อนโดยเฉลี่ยแล้ว เซเปียนส์ในสมัยนั้นมีเชาว์ปัญญา และทักษะการสร้างเครื่องมือดีกว่าเซเปียนส์เฉลี่ยในปัจจุบันเสียอีก… ในเรื่องของการเอาชีวิตรอด แต่แม้กระนั้น เซเปียนส์เมื่อ 20,000 ปีก่อนก็ยังอ่อนแอกว่าเซเปียนส์ในปัจจุบันมากนัก ปัจจัยประการที่สามที่ทำให้เซเปียนส์ครองโลกใบนี้ได้ คือ «ความสามารถที่จะเชื่อมต่อคนมากมายเข้าด้วยกัน» แม้สมองของคนปัจจุบัน ดูเหมือนจะเล็กกว่าสมองของเซเปียนส์เมื่อสองหมื่นปีที่แล้วก็ตาม มนุษย์ในทุกวันนี้เป็นใหญ่บนดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างสมบูรณ์ หาใช่เพราะคนแต่ละคนฉลาดเหนือกว่าสัตว์ต่าง ๆ มาก หรือเพราะมีนิ้วที่แคล่วคล่องว่องไวกว่าชิมแปนซีหรือหมาป่า แต่เพราะเซเปียนส์ เป็นสปีชีส์เพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้ที่มีความยืดหยุ่นมากพอ ที่จะร่วมมือกันแบบกลุ่มคนจำนวนมากได้ต่างหาก
มดและผึ้งเรียนรู้ที่จะร่วมมือเป็นกลุ่มก้อนนานนับล้าน ๆ ปีก่อนเซเปียนส์ก็จริง แต่ความร่วมมือของมดและผึ้ง ขาดความยืดหยุ่น จึงไม่สามารถออกแบบระบบสังคมขึ้นใหม่ชั่วข้ามคืน และไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ หรือโอกาสใหม่ ๆ ได้ ไม่เหมือนเซเปียนส์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่กันเป็นสังคมอย่างช้างและชิมแปนซี ร่วมมือกันได้อย่างยืดหยุ่นมาก แต่พวกมันทำเช่นนั้นได้แค่เพียงกลุ่มเล็ก ๆ บนความคุ้นเคยส่วนตัวเท่านั้น มีแค่เซเปียนส์เท่านั้น ที่สามารถร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่นมาก ๆ ในหมู่คนแปลกหน้าโดยไม่จำกัดจำนวน ความสามารถอย่างเป็นรูปธรรม แบบนี้เองที่ใช้อธิบายเรื่องความเป็นเจ้าผู้ครองดาวเคราะห์โลกของเซเปียนส์ได้ มิใช่คำอธิบายด้วย «วิญญาณอันเป็นนิรันดร์» ตามคำตอบแบบเอกเทวนิยมดั้งเดิม
หนังสือ Homo Deus แหลมคมยิ่งเมื่อเสนอว่า การปฏิวัติเกษตรกรรมทำให้เกิดศาสนาแบบเทวนิยม แต่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ก็ให้กำเนิดศาสนาแบบมนุษย์นิยม ซึ่งมนุษย์ได้เข้ามาแทนที่ เทพเจ้าทั้งหลายในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของตัวตน ในหนังสือ Homo Sapiens กล่าวว่า การพัฒนาประวัติศาสตร์ของเซเปียนส์มาจากการปฏิวัติ 3 ครั้งคือ
- » การปฏิวัติการรับรู้» ที่ทำให้เกิดภาษา
- «การปฏิวัติเกษตรกรรม» ที่ทำให้เกิดศาสนาแบบเทวนิยม
- «การปฏิวัติวิทยาศาสตร์» ที่ทำให้เกิดศาสนาแบบมนุษย์นิยมในรูปของอุดมการ์เสรีนิยม, คอมมิวนิสต์(สังคมนิยม)และลัทธินาซี
จะเห็นได้ว่าผู้เขียน Homo Sapiens และ Homo Deus ได้ใช้มรรควิธีของ «ทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์» แบบเดียวกับมาร์กซ์แต่ในรูปแบบที่อัปเกรดกว่าและตัดเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นออกไปในฐานะที่เป็นแรงขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง ในการปฏิวัติเกษตรกรรม มนุษย์ได้ »ปิดปาก» สัตว์และพืชในป่า ซึ่งต่างจากยุคก่อนที่มนุษย์ยังสื่อสารกับสัตว์ป่าและพืชในป่าได้ เพราะมนุษย์ปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์และพืชใหม่ โดยเอาสัตว์เลี้ยงและพืชเพาะปลูก เข้ามาทดแทนสัตว์ป่าและพืชในป่าแทบจะสิ้นเชิง
ในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์…. มนุษย์ได้ «ปิดปาก» เทพเจ้าด้วยเช่นกันเหลือแค่การแสดงเดี่ยวบนเวทีของมนุษย์เท่านั้น ในอนาคตอันใกล้ การปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเริ่มต้น … อัลกอริทึมจะเป็นฝ่าย »ปิดปาก» มนุษย์อย่างแน่นอน ลัทธิอัลกอริทึม คือแนวคิดแบบทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ที่สุดโต่งล่าสุด ในการใช้อธิบายชีวิตและวิวัฒนาการของสรรพสิ่ง อารมณ์ความรู้สึกถูกลดทอนให้เป็นอัลกอริทึมทางชีวเคมี สิ่งมีชีวิตก็คืออัลกอริทึม การปฏิเสธการดำรงอยู่ ของวิญญาณที่เป็นนิรันดร์แบบเอกเทวนิยม ของนักวิทยาศาสตร์สายชีวภาพและสายวิวัฒนาการยังพอเข้าใจได้และยอมรับได้ แต่การสุดโต่งจนถึงขั้นปฏิเสธการดำรงอยู่จริงของจิต(consciousness) หรือจิตสำนึกผมว่ามากไป
เพราะคนพวกนี้มองว่า จิตเกิดจากปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีภายในสมองเท่านั้น ทฤษฎีชีววิทยาในปัจจุบันไม่มองว่าความทรงจำ จินตนาการและความคิดของคนเราอยู่เหนือเกินขอบเขตของวัตถุ ทำให้สรุปแบบรวบรัดว่า ชีวิตเป็นแค่เรื่องของการประมวลข้อมูลเท่านั้น การจะได้ประโยชน์จากการอ่าน Homo Sapiens, Homo Deus โดยสมบูรณ์ เราจะต้องรู้ทันข้อจำกัดเชิงญาณวิทยาของหนังสือเล่มนี้ที่ยึดติดอยู่กับกรอบทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์และลัทธิลดทอนนิยมเชิงชีววิทยาให้ได้ก่อน