หากความทันสมัยเริ่มต้นพร้อมๆกับการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่เริ่มขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อน ความทันสมัยคือข้อตกลงอย่างหนึ่ง พวกเราทุกคนต้องลงนามข้อตกลงนี้ตั้งแต่เกิดและจะมีผลบังคับชีวิตเราจวบจนวันตาย ข้อตกลงเรื่องความทันสมัยนี้ สรุปได้อย่างรวบยอดว่า «เซเปียนส์ตกลงจะละทิ้งความหมายเพื่อแลกเปลี่ยนกับอำนาจ» เพราะในอดีตก่อนเข้าสู่ความทันสมัย มนุษย์ต้องยึดมั่นถือมั่นในเรื่องความหมาย (ของพระผู้เป็นเจ้าที่กำหนดชีวิตเราภายใต้แผนการจักรวาลอันยิ่งใหญ่) เพื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก จากความอดอยาก โรคระบาด และสงคราม อย่างมีความหวังในชีวิตหลังความตายได้ พวกเขาต้องสร้างสวรรค์ กับนรกผ่านเรื่องเล่า หรือเรื่องแต่งขึ้นมา เป็นความเชื่อความศรัทธาให้ยึดถือเพื่อเผชิญความตาย และความยากลำบากในชีวิตได้อย่างไม่ไหวหวั่น และเปี่ยมความหมาย แต่ความทันสมัย ได้ปฏิเสธความเชื่อแต่โบราณข้างต้นของเซเปียนส์อย่างสิ้นเชิง ชีวิตกลายเป็นไม่มีบทละคร ไม่มีคนเขียนบท ไม่มีผู้กำกับการแสดง และไม่มีผู้อำนวยการสร้างอย่างพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตจึงไม่มีความหมายใด ๆ เลยตามความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่เซเปียนส์มีในตอนนี้ เพราะแม้แต่จักรวาลเอง ก็ยังเป็นกระบวนการที่มืดบอดและไม่มีจุดมุ่งหมาย
ในสายตาของพวกทันสมัยนิยม สิ่งต่าง ๆ แค่เกิดขึ้น เรื่องแล้วเรื่องเล่า มีแต่เพียงสาเหตุ ไม่มีเป้าหมาย มนุษย์จึงสามารถทำอะไรก็ได้ ตามที่กิเลสกระตุ้นให้อยากทำถ้าหาหนทางทำได้ มนุษย์ไม่ได้ถูกกักขังจากอะไร นอกจากความโง่เขลาของตัวเอง ความอดอยาก โรคระบาด และสงครามไม่มีความหมายกับจักรวาล แต่มนุษย์สามารถกำจัดมันได้ ไม่มีสวรรค์รอคอยเราอยู่หลังความตาย แต่คนเราสามารถเสพสุขด้วยการสร้างสวรรค์เอาไว้บนโลกตอนนี้ ตรงนี้ และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปให้ยืดยาวที่สุดเท่าที่จะยืดได้ ขอเพียงแค่คนเรา สามารถจัดการเอาชนะความยุ่งยากทางเทคนิคบางอย่างด้วยวิทยาศาสตร์ได้เท่านั้น
นี่คือข้อตกลงแห่งความทันสมัยที่เย้ายวนใจยิ่งสำหรับพวกเซเปียนส์ เพราะความทันสมัย สามารถมอบอำนาจไร้ขีดจำกัด ให้แก่คนเราในระยะที่แทบจะเอื้อมถึงได้เรื่อย ๆ มาโดยตลอดนั่นเอง โดยที่ข้างใต้เราคือ ห้วงเหวแห่งความว่างกลวงที่กำลังอ้าปากกว้างรอ ให้พวกเราพลัดตกลงไปได้ทุกเมื่อ ชีวิตที่»ทันสมัย»ของพวกเซเปียนส์ จึงเป็นการไล่ล่าอำนาจทางโลก หรืออำนาจเหนือวัตถุอย่างไม่หยุดหย่อน ภายในเอกภพที่ปราศจากความหมายหรือหาความหมายไม่เจอ
การวิจัย ประดิษฐ์ ค้นพบ และเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่หยุดยั้งคือหัวใจของความทันสมัย โดยที่ความทุกข์กลับดำรงอยู่ ในยุคสมัยใหม่มากยิ่งกว่า ซับซ้อนยิ่งกว่ายุคก่อนสมัยใหม่อย่างเทียบกันไม่ได้เลย ทุนนิยม คือสิ่งประดิษฐ์ขั้นสุดยอดที่เป็นผลพวงของข้อตกลงเรื่องความทันสมัย ของพวกเซเปียนส์ ในขณะที่ศาสนาแบบเอกเทวนิยม ให้สัญญาแก่ผู้คนด้วยวิมานในอากาศ แต่ทุนนิยมกลับสัญญาด้วยปาฏิหารย์ของเทคโนโลยีบนโลกนี้ในเวลานี้ แถมยังเอามาส่งถึงที่ด้วย
เทวทัณฑ์ (天罰) อันแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของทุนนิยมและข้อตกลงเรื่องความทันสมัย คือการล่มสลายของระบบนิเวศ รวมทั้งการล่มสลายของอารยธรรมทางวัตถุ ในปัจจุบันของพวกเซเปียนส์ผ่านการล่มสลายของชีวมณฑล (biosphere) มิหนำซ้ำเทวทัณฑ์นี้กำลังเริ่มขึ้นแล้ว หลังจากที่พวกเซเปียนส์ จมจ่อมหมกมุ่นอยู่กับการเสพสุขบนโลกใบนี้ แบบล้างผลาญในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ โครงการดีอุสเพื่ออัปเกรดพวกเซเปียนส์ที่เป็นชนชั้นนำทั่วโลกที่มีอำนาจ คือ หนึ่งในโครงการเอาตัวรอดจากเทวทัณฑ์ ที่กำลังเกิดขึ้นหลังจากนี้ในอนาคตอันใกล้นั่นเอง โครงการดีอุสที่จัดอยู่ในความเชื่อเรื่อง «เรือโนอาห์ไฮเทค» ของชนชั้นนำส่วนน้อยที่ครองโลกตะวันตก ในปัจจุบัน จึงเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติและระบบนิเวศทั้งปวงในปัจจุบัน เพราะคนพวกนี้เต็มใจ ให้คนค่อนโลกล้มตายไปกับหายนะจากการล่มสลายของระบบนิเวศ และสงครามโลกครั้งสุดท้ายในอนาคตอันใกล้ ขอเพียงพวกตนสามารถขึ้นเรือโนอาห์ไฮเทคได้ทันเวลาเท่านั้นก็พอ
อย่ามัวแต่โทษก่นด่ารัฐบาลหาแพะกันอยู่เลย ความทุกข์ยากที่ผู้คนประสบอยู่ตอนนี้ มันเป็น «ข้อตกลงของความทันสมัย» ที่พวกเราทุกคนต้องเซ็นยินยอมนับตั้งแ ต่วินาทีแรกที่เราเกิดมาแล้วต่างหาก ความทันสมัยมันกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่า ต้องไม่มีมนุษย์คนไหนแม้เพียงคนเดียว หรือหมู่คณะเดียวจะพยายามเลิกการแข่งขันแบบการแข่งหนู (the rat race) ที่สร้างความเครียด ความกดดันและความทุกข์ให้แก่ผู้คนอย่างมหาศาล