ตอนที่ 6 - ปลายทางของการปฏิวัติมนุษย์นิยมคืออภิมนุษย์

โดย ดร. สุวินัย ภรณวลัย

ก่อนยุคทันสมัย เซเปียนส์ใช้ชีวิตโดยเอาเรื่องเล่าของพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (โดยเฉพาะในโลกของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาพราหมณ์) แต่พอเข้าสู่ยุคทันสมัย เซเปียนส์ได้หันมาเอาเรื่องเล่า เกี่ยวกับมนุษย์หรือความเชื่อใหม่เรื่องมนุษย์นิยมเป็นศูนย์กลางแทน การปฏิวัติมนุษย์นิยมอันเป็นหลักความเชื่อใหม่ที่ «พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน» สำหรับคนสมัยนั้นได้พิชิตโลกทั้งโลกในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ศาสนามนุษย์นิยมบูชาความเป็นมนุษย์ และคาดหวังให้มนุษย์แสดงบทบาทที่พระเจ้าเคยแสดงในศาสนาคริสต์และอิสลาม

มนุษย์นิยมคาดหวังให้ประสบการณ์ของมนุษย์เป็นฝ่ายมอบความหมายให้จักรวาล ผ่านการดึงประสบการณ์ภายในของตนออกมา เพื่อสร้างความหมายให้แก่โลกที่ไร้ความหมาย หัวใจของการปฏิวัติมนุษย์นิยมในยุคทันสมัย จึงมิใช่การสูญสิ้นศรัทธาในพระเจ้า แต่เป็นการหันมาศรัทธาในมนุษย์แทน

คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางจริยธรรม คือ «ถ้ารู้สึกดี จงทำ» คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางการเมือง คือ «ผู้ออกเสียงรู้ดีที่สุด» คำขวัญของมนุษ์นิยมในทางเศรษฐกิจ คือ «ลูกค้าถูกเสมอ»
คำขวัญของมนุษย์นิยมในทางสุนทรียศาสตร์ คือ «ความงามอยู่ในดวงตาของผู้ชม»

สรุปสั้น ๆ ได้ว่า พวกมนุษย์นิยมเชื่อมั่นในความรู้สึกของปัจเจก ซึ่งเป็นอัตวิสัยเท่านั้นในการตัดสินทุกเรื่องราวในชีวิต ในยุคทันสมัยภายใต้การปฏิวัติมนุษย์นิยม ความรู้สึกของมนุษย์คือแหล่งกำเนิดของความหมาย และอำนาจทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตแบบมนุษย์นิยม คือการพัฒนาความรู้อย่างเต็มที่ผ่านประสบการณ์อันหลากหลายทางด้านปัญญา อารมณ์และทางกายภาพ

เป้าหมายของการดำรงอยู่ คือ การกลั่นประสบการณ์ที่เป็นไปได้อย่างกว้างขวางที่สุดของชีวิตให้กลายเป็นภูมิปัญญา (wisdom) จุดยอดสูงสุดแห่งชีวิต มีเพียงประการเดียวคือ การได้วัดความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างในการเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เซเปียนส์สร้างประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของตนขึ้นในช่วง 70,000 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีวัฒนธรรมไหน ที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้สึก ความปรารถนาและประสบการณ์ของมนุษย์ มากเท่ามนุษย์นิยมมาก่อน อย่างไรก็ดีลัทธิมนุษย์นิยมได้แตกออกเป็นสามนิกายย่อย ที่ตีความประสบการณ์ของมนุษย์แตกต่างกันไป คือ

  1. มนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (liberal humanism) หรือเรียกย่อๆว่า เสรีนิยม (liberalism) นี่คือ มนุษย์นิยมแบบดั้งเดิมและเป็นกระแสหลักที่มองว่ามนุษย์แต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคลที่มีความเฉพาะตัว จึงให้ความสำคัญกับเสรีภาพมากที่สุด

  2. มนุษย์นิยมแบบสังคมนิยม (socialist humanism) ที่โอบอุ้มความเคลื่อนไหวของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เอาไว้ โดยให้ความสำคัญกับความเสมอภาคมากกว่าเสรีภาพ และฝากศรัทธาทั้งหมดไว้ที่พรรคการเมืองของตน (เชื่อว่าพรรคการเมืองรู้ดีที่สุด)

  3. มนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ (evolutionaly humanism) เชื่อมั่นแบบยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน จึงไม่ชื่อว่าวิวัฒนาการจะหยุดอยู่แค่เซเปียนส์ แต่ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่มุ่งไปสู่การเป็นอภิมนุษย์ (superhuman)

ผู้สนับสนุนแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการที่โด่งดังที่สุด คือพวกนาซี แต่นี่เป็นเพียงเวอร์ชั่นที่สุดโต่ง ของมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการเท่านั้น ลัทธินาซีเกิดขึ้นจากการจับคู่แบบมิจฉาทิฐิ ระหว่างมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการกับทฤษฎีเชื้อชาติจำเพาะและอารมณ์คลั่งชาติอย่างรุนแรง แปลกแต่จริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ที่เราเห็นได้ชัดถึงขีดจำกัดของมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม (ที่เลยจุดพีคมาแล้ว) และมนุษยนิยมแบบสังคมนิยม (ที่ส่วนใหญ่ล้มเหลวไม่เป็นท่ายกเว้นในประเทศจีน) ปรากฏว่า มนุษยนิยมแบบวิวัฒนาการ กลับผงาดขึ้นมาแทนและมีแนวโน้มว่าจะกลายมาเป็นกระแสหลักในการก่อร่างสร้างศตวรรษที่ 21 หลังจากนี้

โครงการ Homo Deus (มนุษย์เทพ) ที่กำลังวิจัยและพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน กับความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีชีวภาพ คือพลังทางวัตถุที่หนุนหลังแนวคิดมนุษย์นิยมแบบวิวัฒนาการ ให้ผงาดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนี้ พร้อมกันนั้น ศาสนาเทคโนโลยี (techno-religion) กำลังจะเข้ามาแทนศาสนามนุษย์นิยม ที่ครองโลกในยุคทันสมัยมาอย่างยาวนาน เพราะพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของมวลชนที่เป็น «มนุษย์ที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ» จำนวนมหาศาล ที่เป็นผลมาจากการปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์ในอนาคตอันใกล้ ความเชื่อความศรัทธา เรื่องมนุษย์นิยมแบบเสรีนิยม จะถูกบ่อนทำลายในระดับฐานราก ปัจจุบัน ขบวนรถไฟแห่ง «ความก้าวหน้า» ได้เคลื่อนออกจากสถานีที่ชื่อ โฮโมเซเปียนส์ ไปแล้ว สังคมไหน องค์กรไหน ปัจเจกคนไหนที่พลาดขบวนนี้จะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง

การจะหาที่นั่งในขบวนนี้ได้ สังคมนั้น องค์กรนั้น ผู้นั้นจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอำนาจของเทคโนโลยีชีวภาพ และอัลกอริทึม ผู้ที่ขึ้นรถไฟแห่งความก้าวหน้าได้ทัน จะได้รับอำนาจวิเศษแห่งการสร้างสรรค์ และการทำลาย ส่วนพวกที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังจะต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์ไม่ช้าก็เร็ว

next >>