รีวิวหนังสือ Homo Deus

รีวิวหนังสือ: Homo Deus – A Brief History of Tomorrow

enter image description here

ผู้เขียน : Yuval Noah Harari สำนักพิมพ์ : Vintage จำนวนหน้า : 513 หน้า Genre : Social Science ISBN : 1784703931 พิมพ์ครั้งแรก : March 2015

Key Messages

Homo Deus: When Men Play God

จะเกิดอะไรขึ้น หาก Homo Sapiens (“Knowing Man”) คิดจะอัพเกรดตน กลายเป็น Homo Deus (“God Man”)

หนังสือ Homo Deus: A Brief History of Tomorrow (หรือชื่อเล่มฉบับแปลไทย โฮโมดีอุส: ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้) คือภาคต่อของ Sapiens ซึ่งยังคงความยอดเยี่ยมในการนำข้อมูลจากประวัติศาสตร์ และปัจจุบัน มาผสานรวมกับมุมมองของผู้เขียน ออกมาเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวของมนุษย์ และตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ได้อย่างแหลมคม ชวนคิด และน่าทึ่ง

Homo Deus บอกเล่าเรื่องราวต่อจากหนังสือ Sapiens ที่ Harari ได้อธิบายว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆกับโลก จึงสามารถขึ้นมาเป็น “The only Dominant Species”ของโลกใบนี้ได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 75,000 ปี

คำถามต่อมาคือมันจะสิ้นสุดแค่นี้หรือ? มนุษยชาติจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นี้ได้หรือไม่ ?

จากประวัติศาสตร์ มนุษย์ก็ดูไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่พอใจกับการหยุดนิ่งกับที่ ก็ในเมื่อเราสามารถพัฒนาจนเอาชนะชะตาที่ธรรมชาติกำหนดมาได้ในระดับหนึ่ง มีเหตุผลอันใดที่เราจะไม่ไปต่อ พัฒนาสิ่งต่างๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นผู้กำหนดชะตาธรรมชาติเสียเอง?

จะเกิดอะไรขึ้น หากมนุษย์สามารถไปถึงจุดนั้นได้?

หนังสือ Homo Deus จึงเป็นความพยายามอีกครั้งของ Harari ที่จะนำผู้อ่านออกเดินทางสู่โลกของความเป็นไปได้ในอนาคต โดยอาศัยสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ อาศัยข้อมูลความก้าวหน้าด้านต่างๆ องค์ความรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ มาสังเคราะห์เป็นโลกแห่งความเป็นไปได้ในอนาคต ให้ผู้อ่านได้ไตร่ตรอง พิจารณา

yuval noah harari

Yuval Noah Harari (Credit: ynharari.com)

Note : คำเฉพาะภาษาไทยที่ใช้นี้มาจากผมลองแปลจาก Version ภาษาอังกฤษเองนะครับ น่าจะมีหลายๆคำ ที่ไม่ตรงกันกับฉบับ Official แปลไทย

The Human Agenda

Harari เริ่มต้น Homo Deus ด้วยประเด็นว่า มนุษย์นั้นได้บรรลุความใฝ่ฝันของผู้คนในอดีตแล้ว เช่น หากคุณเกิดมาสมัยยุคกลางของยุโรป มันก็เป็นเรื่องปกติที่อายุขัยคนรอบๆตัวคุณจะไม่ได้ยืนยาวเกิน 60 ปี เป็นเรื่องปกติที่วันดีคืนดีคุณจะติดเชื้อโรคระบาดแล้วก็ตายไป วันดีคืนดีคุณจะไม่มีอะไรกิน หรือโดนเมืองข้างๆเปิดสงคราม บุกโจมตี คนในสมัยก่อนคงไม่คิดว่าจะมีวันใดที่มนุษย์สามารถเอาชนะ ภาวะอดอยาก (Famine), โรคระบาด (Plaque) และสงคราม(War) ไปได้ พวกเขาแค่อยู่รอดไปวันๆก็เก่งแล้ว

แต่ไม่ใช่ในสมัยนี้ ที่ สามเรื่องดังกล่าวเป็นอะไรที่เราคุมได้ เราผลิตอาหารได้มากพอ ที่ภาวะอดอยากนั้นเป็นเรื่องของปัญหาการเมือง หากมีโรคระบาดเกิดขึ้น นั่นคือความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายทางสาธารสุข และเรามีคนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย มากกว่าการฆาตกรรมหรือจากสงครามรวมกันเสียอีก

ฉะนั้นแล้วเมื่อมนุษย์สามารถเติมเต็มสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะพอใจแค่นั้น เราได้กลายเป็นเจ้าของชะตาชีวิตของเราเอง ไม่มีอะไรมาหยุดเราไม่ให้ Upgrade ตัวเราให้ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่อมตะ (Immortality) เพื่อสุขนิรัน (Bliss) และอำนาจเหนือพระเจ้า (Divinity)

The Hive Switch

แต่ก่อนที่ Harrari จะพยายามอธิบายว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ในอนาคต เขากลับมาตั้งคำถามอีกครั้ง นำผู้อ่านย้อนสู่หนังสือ Sapiens โดยเน้นประเด็นที่ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

เรามาอยู่ในจุดที่มนุษย์เป็น Species เดียวที่สามารถกำหนดความเป็นไปของระบบนิเวศได้ทั่วทั้งโลก ซึ่งแม้จะมีสิ่งมีชีวิตเกิดมาล่วงหน้าเราหลายล้านปี ก็ไม่เคยมี Species ที่ใดที่ทำเช่นนี้ได้

Harari เสนอว่าที่มนุษย์ทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่จากที่มันรู้ภาษา ไม่ใช่จากที่มันทำเครื่องมือหินได้ ไม่ใช่จากที่มันเป็นสัตว์ประเสริฐอะไรใดๆ ไม่ใช่เพราะมันมีความรู้สึกนึกคิดละเอียดอ่อนใดๆ แต่เพราะด้วยความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในสมอง ทำให้เราสามารถแต่งนิยาย(Story)ได้ ซึ่งนิยายในที่นี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความเชื่อที่แชร์ร่วมกัน” (Inter-subjective reality) เช่น เราเชื่อว่าเงินมีค่า เพราะคนอื่นๆก็เชื่อว่าเงินมีค่า แต่ถ้าเราเอาเหรียญหรือธนบัตรไปให้คนป่าดู พวกเขาก็คงไม่ได้เห็นค่าอะไร เพราะเขาไม่ได้แชร์ความเชื่อนั้นกับเรา

การที่มนุษย์เชื่อใน Intersubjective reality นี้เอง ทำให้เราสามารถสร้างความร่วมมือได้ในระดับมวลมหาประชาชน ซึ่งไม่มีสัตว์Speciesใดทำได้

ถามว่า Intersubjective Reality นี้ ทำให้มนุษย์ร่วมมือกันได้อย่างไร? นั่นเพราะมันทำให้มนุษย์มีเป้าหมายในชีวีต และ มันให้ความหมายของชีวิตมนุษย์ เช่น ชาวอียิปโบราณเชื่อในฟาโรห์ เชื่อว่าฟาโรห์เป็นพระเจ้า และตนมีชีวิต เกิดมาเพื่อรับใช้ จึงยอมอดทนใช้แรงงานสร้างสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆมากมาย รวมถึงสามารถสร้างพีระมิดด้วยความลำบากลำบนได้

The Pie

นอกจากนี้ Intersubjective Reality ยังทำให้สังคมมนุษย์ อยู่อย่างสงบสุข และเกิดสมดุลในการใช้ทรัพยากร

ทำไมจึงเกี่ยวกับความสงบ? เพราะการจะตัดสินได้ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี หรือไม่ดี (Morally Right or Morally Wrong) ก็ต้องใช้หลักคิด คำสอนต่างๆ มาตัดสิน เช่นคำสอนที่มาจากศาสนา (เช่น ขโมยของเป็นบาป การพนันเป็นบาป เป็นต้น)

ส่วนเรื่องความสมดุลในทรัพยากร ก็เริ่มจากว่า มนุษย์ในอดีตไม่เชื่อในเรื่องการเติบโต (Growth) ของเศรษฐกิจ นั่นเพราะธรรมชาติไม่ได้มีกลไกเช่นนั้น ธรรมชาติไม่เชื่อใน Credit

ลองคิดดูว่า ในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีจำนวนหมาป่าเกิดขึ้นเยอะ จนอัตราการบริโภคกระต่ายแซงหน้าการเกิดของกระต่าย? หรือ หมาป่าบริโภคกระต่ายเกินความจำเป็น? ช่วงแรกนั้นหมาป่าก็จะอวบอ้วนสมบูรณ์ แต่เมื่อกระต่ายลดลงเร็วเกินไป แน่นอนว่าหมาป่าก็จะลดจำนวนลง เพราะพวกมันจะอดตาย หรือ แย่งอาหารกันเอง กลับสู่สมดุล ซึ่งนี่คือธรรมชาติ

และคงไม่มีหมาป่าตัวไหน ที่ไปขอแบ่งเนื้อกระต่าย 1 ตัว จากหมาป่าตัวอื่น แล้วสัญญาว่าเดือนหน้าจะคืนกระต่ายให้อีก 2 ตัว

โลกในอดีตก็เช่นกัน คนเห็นทรัพยากรเป็น Fixed Size Pie ถ้าใครได้ชิ้นใหญ่ไป คนอื่นๆก็จะได้ชิ้นเล็ก ถ้าเมืองใดเมืองหนึ่งรุ่งเรือง นั่นหมายความว่ามีเมืองหนึ่งที่ย่อยยับชิบหาย เพราะว่าถูกยึดทรัพสินมา

วิธีที่จะแก้ปัญหาความขาดแคลนได้นั้น จึงต้องมี Story อะไรบางอย่าง ที่คุมคนไม่ให้แย่งทรัพยากรกัน อาจเป็นการคุมสิทธิเสรีภาพ คุมความทะยานอยากของคนไว้ในคำสอนต่างๆ หรือ ง่ายกว่านั้น ก็บอกว่ามีพายชิ้นใหญ่รออยู่ ในหลังชีวิตความตาย
(Promising pie in the sky) ตอนนี้ก็จงขยัน ทำงาน ทำความดีไว้มากๆซะ

ดังนั้น เมื่อมนุษย์ในอดีตไม่เชื่อใน Growth เศรษฐกิจของโลกก็ไม่เจริญ การใช้ทรัพยากรต่างๆ ก็ไม่ได้เพิ่มสูง ไม่ได้มีการพัฒนาอะไรมากนัก

จนเมื่อ Modernity มาถึง มนุษย์พบว่าเราไม่ต้องอยู่อย่างขัดสน ทุกคนสามารถมีกินมีใช้ได้ มีทรัพยากรพอสำหรับทุกๆคน เพียงแค่เราเพิ่มขนาด Pie ด้วยความเชื่อในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ (ผ่านระบบ Credit)

ฉะนั้น คนที่ได้ Pie ชิ้นใหญ่อยู่แล้ว ก็จะได้ชิ้นใหญ่ขึ้นไปอีก คนที่ได้ Pie ชิ้นเล็ก ที่ตอนแรกไม่พอกิน ก็จะได้ Pie ชิ้นใหญ่ขึ้น พอให้อิ่มท้อง

ความเชื่อใน Growth นี้ ขัดกับอำนาจและคำสอนเดิมๆ ที่กักขังความทะเยอทะยานของเหล่าปัจเจก จึงทำให้เกิดการท้าทายต่ออำนาจเดิมที่คุมมนุษย์ไว้ ซึ่งก็คุมไว้ไม่ได้นาน เพราะ Growth นั้นทำให้ทุกคน Win-Win อย่างเห็นได้ชัด

เมื่อมนุษย์ละทิ้งความเชื่อเก่า ก็ไม่มีอะไรมากำหนดความหมายของมนุษย์

เมื่อไม่มีอะไรมากำหนดความหมายของมนุษย์ แล้วมนุษย์จะมีคุณค่าอะไร? ใช้ชีวิตเพื่อเป้าหมายอันใด?

God Is Dead

ทำไมการเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความหมายใดๆ ไม่ได้ทำให้สังคมมนุษย์เกิดความโกลาหล ทำไมมันยังwork ต่อไปได้?

นั่นเพราะ โดยธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถ Go on ต่อได้ หากขาด นิยาย บางอย่างที่ให้มันยึดเหนี่ยว มันจึงได้สร้างสิ่งที่รองรับแนวคิดเรื่อง Growth นี้ ผ่านหลักการที่เรียกว่า Humanism

มนุษย์สร้างนิยายชุดใหม่ขึ้นมา เรียกว่า Liberal Humanism

Humanism (มนุษยนิยม) คือการที่ มนุษย์หันมาสร้างคุณค่าของมนุษย์ด้วยตัวของเขาเอง

หลักการ (Dogma) ของHumanism คือ อะไรที่ทำให้มนุษย์มีความสุข สิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ถูกต้อง

ความเชื่อนี้บอกว่า มนุษย์คือศูนย์กลาง คือผู้ให้ความหมายของจักรวาล มนุษย์จะทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พวกเขามีความสุข

หลักการนี้ ซึ่งก่อร่างพร้อมด้วยกับ Industrial revolution จึงทำให้สังคมมนุษย์เจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่มีอะไรจะมาหยุดมนุษย์ได้อีกแล้ว ด้วยความรู้ทาง Genetic engineer , Artificial Intelligence และวิทยาการต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นทุกวันๆ ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดเรา ไม่ให้มีอำนาจเทียมเท่าพระเจ้าได้

ซึ่ง Harari เสนอว่า การที่เราพยายามจะ play god นี่แหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะมวลมนุษยชาติ เพราะสุดท้ายแล้ว ความเจริญนี้ จะย้อนกลับมาทำลาย “ความหมายของมนุษย์” อันเป็นเสาหลักของ Humanism

The Algorithm

อะไรคือความหมายของมนุษย์? อะไรคือ “แก่นของมนุษย์”

ดังที่กล่าวว่า ความพิเศษของมนุษย์อยู่ที่การร่วมมือระดับมวลมหาประชาชน ไม่ใช่ในระดับปัจจเจก ตัว Harari นั้น ไม่เชื่อในจิตวิญญาณ ไม่เชื่อใน Free will ของปัจเจกใดๆทั้งสิ้น

ในมุมมองของ Harari, มนุษย์เดี่ยวๆนั้น ไม่มีความพิเศษอะไรไปมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆเลย

เขาเสนอให้มองว่าสิ่งมีชิวิตนั้น ก็คือ Algorithm ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Biological algorithm

Biological algorithm นี้มีหน้าที่ในการรับ Input และแปลงให้ได้ Output ใดๆก็ตามให้มันสามารถอยู่รอด และสืบพันธุ์ ได้ต่อไป

เมื่อเป็น Algorithm ก็แสดงว่าเรามี Pattern ที่เราสามารถทำนาย ควบคุม และเลียนแบบได้

ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความเจริญด้านชีววิทยา สามารถ Crack the code ถอดรหัส Algorithm ของสมองมนุษย์ได้ สามารถคุมการทำงานของความคิดมนุษย์ได้ และจะเกิดอะไรขึ้น หาก AI สามารถพัฒนา Algorithm ให้ก้าวหน้าจนสามารถทำอะไรต่างๆ ได้เก่งกว่ามนุษย์

ลางหายนะข้อที่หนึ่ง จึงเป็นว่าเมื่อ AI มาแทนที่มนุษย์ จนทำอะไรต่างๆได้ดี มนุษย์เดิมที่มีคุณค่าอย่างน้อยที่สุดในงานแรงงาน ก็จะกลายเป็น ชนชั้นที่ไม่มีคุณค่าใดๆ (Useless class of human) โดยสมบูรณ์แบบ

อาจมีข้อค้านว่า แม้AI จะเก่งยังไง มันก็ไม่มีความรู้สึกนึกคิด (Consciousness) แม้ในปัจจุบันAIจะพัฒนาเร็วแค่ไหน ด้านพัฒนาความรู้สึกก็ยังดูห่างไกล ไม่ได้มีความคืบหน้าใดๆ ยังไงเสีย เมื่อมนุษย์นั้น ยังมีความรู้สึกนึกคิด ฉะนั้น AI ก็น่าจะยังตามหลังเราอยู่เสมอ

แต่ ปัญหาคืออะไรสำคัญกว่าหละ ในการทำงาน ระหว่าง ความฉลาด (Intelligence) หรือ ความรู้สึก (Consciousness) ถ้า AI สามารถทำงานได้เก่งกว่ามนุษย์ จำเป็นด้วยหรือ ที่มันต้องมีความรู้สึก?

หายนะข้อที่สองที่จะมาท้าทายความเป็นมนุษย์ ก็คือความเจริญของ Biogenetic และ Bioengineering

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราสามารถปรับแต่งพันธุกรรมได้สมบูรณ์ เราสามารถกำหนดคุณสมบัติของมนุษย์ได้ตั้งแต่ปฏิสนธิ และเราสามารถปรับเสริมเติมแต่ง ใส่นุ่นนี่นั่นให้มนุษย์ได้ (สร้างCyborg) จนสุดท้ายเราอาจสามารถเปลี่ยนสมอง คุมความคิดของมนุษย์ได้ อุปนิสัยอะไรที่ไม่ดี เราก็กด Switch ปิดมัน อุปนิสัยที่ดีๆ เราก็ขยายสัญญาณมันมากๆขึ้นๆ

เมื่อความก้าวหน้ามาถึงขั้นเราสามารถ Manipulate ความรู้สึกของคนได้แล้ว เรายังจะเรียกได้หรือไม่ ว่าแต่ละคน Unique หรือ มีตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์จริงๆ

หายนะที่ต่อเนื่องมาคือ หากการ Engineer มนุษย์นี้ เกิดขึ้นจริง มันย่อมเกิดขึ้นก่อนในหมู่ Elite ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ความสามารถของคนธรรมดากับคนที่ได้รับการปรับแต่ง ห่างชั้นกันมากขึ้น พวก Elite ที่ได้รับการปรับแต่ง อาจมีการทำงานร่างกายที่ไม่เหมือนเรา อาจมีสมองที่คิด รู้สึก ประสบการณ์ต่างจากเราไปมากเรื่อยๆ เหมือนที่เราไม่มีวันเข้าใจความคิดของหมู ของไก่

พวกเขาอาจเปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ ที่Sapiens ไม่มีวันเข้าใจ เกิดเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เรียกว่า Homo Deus

It’s all about the Data Flow

เมื่อเสาหลักของ Humanism ซึ่งก็คือความ Unique และความหมายของแต่ละคน ถูกท้าทาย และมีแนวโน้มจะถูกทำลายไป นั่นแปลว่า Liberal humanism อาจถูกทำลายได้ในอนาคต

เมื่อนั้นแล้วอะไรจะมาแทนที่มันหละ อะไรจะมากำหนดความหมาย กำหนดเป้าหมายให้ Homo Sapiens ได้อีก?

Harari เสนอว่า สิ่งนั้นอาจเป็น Dataism

Dataism ยึดหลักที่ว่า Universe ไม่ใช่อะไรอื่น มันคือ Data flow

คุณค่าหรือความหมายของสิ่งใดๆ ขึ้นกับว่ามันสามารถ มอบอะไรให้กับการสร้าง แปรผล และผลิตซ้ำ แบ่งปัน Data ได้มากน้อยแค่ไหน

ถ้ามันทำให้เกิด Data Flow ได้มาก แสดงว่ามันมีคุณค่า และมันได้ไปต่อ

การที่มนุษย์มาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถ contribute data flow ได้ดีกว่าสัตว์ตัวอื่นๆ โดยเฉพาะการที่มันสามารถร่วมมือเป็นมวลมหาประชาชนนี้ได้ ยิ่งทำให้เกิด Processor อันทรงพลัง มันจึงเป็นผู้ชนะในโลกนี้

กรณีอื่นๆ เช่น การที่ ทุนนิยม เอาชนะ คอมมิวนิส ได้นั้น ไม่ใช่เพราะ ทุนนิยมคือพระเอก คอมมิวนิสคือซาตาน แต่เพราะทุนนิยมใช้ระบบ Distributed Data processing ในขณะที่ Communist ใช้ Centralised Data processing ซึ่งช้ากว่า มันเลยแพ้ไป

Dataism เกิดจาก การพยายามผสานรวมกันของสองทฤษฏีที่สำคัญ คือ การมองสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็น ฺBiochemical algorithm และ การเกิดมาของ Computer ซึ่งเป็น Electronic algorithm

Dataism เสนอว่า เราควร ควบรวม ทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน ทำลายบาเรียกั้นระหว่างสัตว์และเครื่องจักร เมื่อนั้นแล้วองค์ความรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ก็สามารถผนวกรวมกัน เกิดเป็น Single Processing algorithm ที่ทำให้ข้อมูลมีการ Flow อย่างดีที่สุดโดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

และโลก ก็จะอยู่ในยุคสมัยแห่งความรุ่งเรือง ก้าวหน้า อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นกัน

หาก Dataism สามารถครองโลกได้สำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้นกับมวลมนุษชาติ?

Harari เสนอว่า ในช่วงแรก มนุษย์จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล จากความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่จะรับมือกับข้อมูลปริมาณมหาศาลนี้ได้ มิใช่สมองมนุษย์ มันคือ AI

สุดท้ายแล้ว AI จะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และ มนุษย์ จะไม่เกี่ยวอะไรกับโลกนี้อีกต่อไป

ความสุขของมนุษย์จะไม่มีความสำคัญใดๆอีกต่อไปมนุษย์ จะไม่มีความหมายใดๆอีกต่อไป เพราะBiological algorithm ที่ล้าหลังของมนุษย์ จะถูกแทนที่ด้วย Electrical Algorithm

มนุษย์จะยังคงมีอยู่ อยู่ดี กินดี แต่ชีวิตเหล่ามนุษย์ที่ไม่มีความหมายเหล่านี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?

สุดท้ายแล้ว มนุษซึ่งสร้าง Electric Algorithm ขึ้นมา ก็จะถูกลดสภาพเป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งในระบบ แล้วอาจหายไปกับกลุ่มข้อมูลต่างๆ

บั้นปลายของ Dataism จึงชี้ให้เห็นว่า สุดท้าย มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งที่ทำมันทำสัตว์ร่วมโลกใบนี้ ที่มันทำกับหมู ทำกับไก่

สุดท้าย Homo Sapiens จะเป็นสัตว์ล้าหลังตัวหนึ่ง ที่ไม่มีความสลักสำคัญใดๆต่อโลกใบนี้

Harari ทิ้งท้ายหนังสือ ด้วยคำถามสำคัญสามข้อ ซึ่งเขาเชื่อว่าสามารถตอบทุกๆปัญหา และพอชี้ให้เราเห็นแนวทางในอนาคตได้ นั่นคือ

1. Are organism really just algorithm, and is life really just data processing? (สิ่งมีชีวิตเป็นแค่ Algorithm และ ชีวิตเป็นแค่ Data processor จริงๆหรือ)

2. What’s more valuable – intelligence or consciousness? (อะไรสำคัญกว่า ความรู้สึก หรือ ความฉลาด)

3. What will happen to society, politics and daily life when non-conscious but highly intelligent algorithm know us better than we know ourselves? (อะไรจะเกิดขึ้นต่อระบบสังคม การเมือง และชีวิตประจำวันของพวกเรา หากมี algorithm ที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ฉลาดมากๆ รู้จักตัวเรา ดีกว่าเรารู้จักตัวเองสะอีก)

Opinion

นี่คือหนังสือที่เสนอมุมมอง และแง่มองต่างๆ ของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในโลกใบนี้ อธิบายว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และอธิบายว่าเรากำลังจะเดินไปทางไหนในอนาคต ได้อย่างละเมียดละไม มีชั้นเชิง เป็นหนังสือที่มีอำนาจที่สุดเท่าที่ผมเคยมา เพราะมันปลุกความคิด ท้าทายปัญญา เปิดหูเปิดตา และเปลี่ยนตัวตน และมุมมองของผมที่มีต่อกลไก การทำงานของโลกใบนี้ ไปอย่างมหาศาล

เป็นหนังสือที่เกิดมาชาตินี้ ต้องอ่านครับ

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีข้อควรระวังในการอ่าน คือ

  1. เราต้องไม่ลืมว่า Harari นั้นเป็นนักประวัติศาสตร์ การนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ต่างๆมาอ้างอิงของเขาจึงดู ฉาบฉวย (Face Value)ไปบ้าง และอาจดู Extrapolate ผลการทดลองหลายๆอย่างมากไปหน่อย ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคนที่อ่านเล่มนี้ หรืออ่าน Review อาจคิดว่า นี่มันหนังสือนิยายไซไฟชัดๆ ดังนั้นแล้วเราจึงไม่ควรเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าสิ่งต่างๆนั้นจะเกิดขึ้นจริง
  2. Focus in the process แต่ที่สุดยอดและน่าทึงมาก และเราควรศึกษาเรียนรู้ คือ การที่ Harari สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ในหลายๆศาสตร์ มา Integrate เข้ากับระเบียบวิธีคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ ออกมาเป็นแนวทางของเขาได้อ่ยางไร ที่น่าทึ่งไม่แพ้กันคือ ความสามารถเขียนอธิบายข้อมูลต่างๆ ไล่มาเป็นฉากๆ ได้อย่างลื่นไหล เขาได้อย่างไร ซึ่งต้องไปอ่านเองครับ ผมไม่รู้จะเอาคำไหนมาบรรยาย บอกได้แค่มันสนุกและน่าทึ่งมากๆ
  3. ไม่มีใครทำนายอนาคตได้ อนาคตที่ดูทำนายได้แม่นยำ มันจะไม่เกิด สิ่งที่มักจะเกิดคือสิ่งที่ผู้คนคิดไม่ถึง ในประเด็นนี้มี Discuss อย่างละเอียดในบทนำครับ

สรุปเนื้อหา Homo Deus แต่ละบท

บทที่ 1 : The New Human Agenda

จุดมุ่งหมายเดิมของมนุษยชาติ (Origin human Agenda) คือ การแก้ไขปัญหา ความอดอยาก (Famine) โรคระบาด(Plaque) และภาวะสงคราม (Wars)

แต่ในโลกสมัยใหม่นี้ ปัญหาดังกล่าวได้บรรเทาเบาบางลงไปแล้ว

1. Famine

ไม่มีการอดอยากที่เกิดจากธรรมชาติอีกแล้วในโลกนี้ เพราะจริงๆแล้ว เราสามารถผลิตอาหารได้พอกับความต้องการทั้งโลก จะมีเหลือก็แต่การอดอยากเพราะปัญหาจากการเมืองเท่านั้น

ปัญหาการบริโภคเกินความต้องการ น้ำหนักเกิน โรคอ้วน กลับกลายเป็นปัญหาหนักว่าการอดอยาก

ในปี 2010 มีคนตายด้วยโรคอ้วน 3 ล้านคน ในขณะที่ตายจากขาดสารอาหารเพียง 1 ล้านคน

2.Plagues

มนุษย์เราสามารถคุมการระบาดของโรคติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีการระบาดของโรค นั่นคือความผิดพลาดของการบริหารจัดการ เป็นความผิดของรัฐบาล ของสาธารณสุข ไม่ใช่ความโหดร้ายของธรรมชาติ

3.Wars

ในปี 2012 สถิติคนตายทั้งโลกอยู่ที่ 56 ล้านคน

ในนี้มีอยู่ 6 แสนคน ที่ตายด้วย ฝีมือมนุษย์ แบ่งเป็น 1.2 แสนคนที่ตายจากสงคราม , 5 แสนคนตายจากฆาตกรรม ในขณะที่มีถึง 800,000 คนที่ฆ่าตัวตาย

สงครามไม่ค่อยมีประโยชน์อีกต่อไป มันทำกำไรไม่ค่อยได้แล้ว เพราะจากเดิมที่ความมั่งคั่งสร้างขึ้นมาจาก สินทรัพย์ต่างๆ เช่นเหมืองทองคำ น้ำมัน พื้นที่การเกษตร

ปัจจุบัน ความรู้คือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด

World Peace (สันติภาพ) มีความหมายใหม่ จากเดิมนั้น Peace หมายถึงช่วงลมสงบชั่วคราวก่อนที่จะมีสงครามครั้งต่อไปเกิดขึ้น ปัจจุบันนี้ Peace คือสิ่งที่เป็นปกติ (new normal) แต่สงครามคือสิ่งที่มาเกิดทำให้สันติภาพซึ่งเป็นของปกตินั้น เสื่อมเสียไป

อาจจะมองว่า การก่อการร้ายจะดูมีมากขึ้น และดูน่ากลัวมากขึ้น แต่แท้จริงแล้วการก่อการร้ายไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย คนตายจาก Coca-Cola มากกว่า Al-Qaeda

ฉะนั้น หากการก่อการร้ายจะทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง หรือสงครามครั้งใหญ่ นั่นก็เป็นความผิดของ ปฏิกิริยาของประเทศต่างๆ ไม่ใช่ของขบวนการก่อการร้าย

จึงกล่าวได้ว่า Famine, Plaque , Wars นั้นเป็นปัญหาที่อยู่ในอำนาจของมนุษย์ที่จะจัดการให้มันหมดไปได้ มนุษย์ไม่สามารถที่มัวจะโทษธรรมชาติ ชะตากรรม หรือพระเจ้า ได้อีกต่อไป

แต่ ประวัติศาสตร์ จะไม่อดทนต่อภาวะสุญญากาศ

หากปัญหาสามอย่างนั้นลดลง ก็จะมีบางอย่างเกิดขึ้นมาใหม่ เป็นปัญหาใหม่ เป็นเป้าหมายใหม่ ที่มนุษย์จะใฝ่อีกครั้ง

ที่ใกล้ตัวเราที่สุด คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม (Ecological Equilibrium) ซึ่ง Harari เชื่อว่ายังไงมนุษย์ก็หาทางแก้มันได้

ดังนั้นถ้ามนุษย์สามารคุม Famine, Plaque, Wars และ Ecological equilibrium ได้ จะเกิดอะไรต่อ มนุษย์จะสามารถพอใจอยู่แค่นั้น แล้วใช้ชีวิตอย่างปกติสุขต่อไปหรือไม่?

แน่นอนว่าไม่ใช่อย่างนั้น โดยปกติมนุษย์จะไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ เพราะ ปฏิกิริยาต่อความสำเร็จ ไม่ใช่ความพอใจ แต่การต้องการเพิ่มยิ่งขึ้น (Craving for more)

เป้าหมายของมนุษย์นั้นก็เป็นอะไรที่ดียิ่งขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น ให้อำนาจมนุษย์มากขึ้น

…เมื่อเราคุมความเป็นความตาย ( Mortality )ได้แล้ว เราก็จะแสวงหาความเป็นอมตะ ( Immortality )

…เมื่อเราลดความทุกข์โศก (Misery) ได้แล้ว เราก็จะแสวงหาสุขนิรันดร์ (Happiness)

..เมื่อเราไม่ต้องมากังวลกับการตัวรอดไปวันๆ ( Survival Struggles) ดังเช่นสัตว์ Species อื่นๆแล้ว เราก็จะยกตนเหนือกว่าพวกมัน สัตว์เดรัจฉาน และนำเราไปสู่ อำนาจเทียมทัดเทพเจ้า (Divinity)

3 สิ่งนี้ คือ New human Agenda :

ความเป็นอมตะ (Immortality),สุขนิรันดร์ ( Happiness) และ อำนาจเทียมทัดเทพเจ้า (Divinity)

1. Immortality : The last day of death

Homo sapiens มีอายุขัย 70-80 ปี โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ในอดีตที่การแพทย์ไม่เจริญ ก็มีคนจำนวนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวได้ถึงช่วงนี้

จะเห็นได้ว่า การแพทย์สมัยใหม่ ไม่ได้ทำให้ชีวิตเรายืนยาวขึ้น มันแค่ไม่ทำให้เราตายก่อนอายุขัยที่ควรจะเป็นเท่านั้น

ยังไงเสีย มนุษย์เราต้องค้นหาหนทางในการยืดอายุขัย เพราะเรามีความกลัวตาย ฝังลึกลงในจิตใจ (Fear of death ingrained in human mind)

2. Happiness : The right to happiness

ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ใฝ่หามาตั้งแต่อดีตกาล

ในเมื่อมนุษย์สามารถบรรลุ Original agenda ได้แล้ว โดยรวมแล้ว มนุษย์ก็ควรจะมีความสุขขึ้น

แน่นอน ความสุขไม่ได้เป็นสิ่งที่ง่ายดายขนาดนั้น แม้ว่าโลกเราจะร่ำรวยมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น แต่อัตราการฆ่าตัวตายกลับมีมากขึ้น (โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว)

แม้จะมีความเจริญมากขึ้น มนุษย์ก็ไม่ได้มีความสุขขึ้นเลย

อะไรที่เป็นเพดาน (Glass ceiling) บังไม่ให้มนุษย์มีความสุขมากขึ้น แม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จต่างๆมากมาย

Glass Ceiling of happiness and the pillars

Harari กล่าวไว้ว่า ความสุขของมนุษย์มีขีดจำกัด เสมือนกับมันมี Glass Ceiling of Happiness (เพดานแก้วจำกัดความสุข) คอยกั้นอยู่ ซึ่งเพดานนี้มีเสา (Pillar) สองต้นคอยค้ำจุน ถ้าเสามีขนาดสูง เราก็จะมีพบความสุขได้มากขึ้น เข้มข้นขึ้น ถ้าเสามันเตี้ย คุณก็จะมีความสุขได้ลดลง เสาสองต้นที่ว่านี้ คือ

2.1 Psychological Pillar: ความสุขขึ้นอยู่กับ ความคาดหวัง (มากกว่า สภาพปัจจุบัน)

ชีวิตที่สงบสุข มักไม่ได้ทำให้ Sapiens มีความสุข

กลับกัน เรารู้สึกพอใจหากความคาดหวังเราเป็นจริง และเมื่อเราบรรลุมันมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งหวังสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ดังนั้นแล้ว แม้เราจะสมหวังมากแค่ไหน เราจะไม่มีวันที่มีความสุขง่ายๆ

2.2 Biological Pillar: ความสุขขึ้นอยู่กับสารเคมีในร่างกาย

ความสุขมาจากความรู้สึกพอใจ ความทุกมาจากความรู้สึกเจ็บปวด

ไม่มีใครมีทุกข์เพราะตกงาน เราทุกข์ เพราะเรา “รู้สึก” ว่าการตกงานทำให้เรารู้สึก “ไม่ดี” อันเป็นสิ่งที่เกิดในสมอง

คุณสามารถเป็นคนตกงานที่มีความสุขที่สุดในโลกได้ หากคุณไปเล่นยา หลังจากตกงาน

ปัญหาคือ ความรู้สึกพอใจที่เกิดจากสารเคมีในสมอง จะมีช่วงเวลาที่สั้นมาก ภายในเวลาไม่นาน มันก็จะกลายเป็นความรู้สึกไม่พึงพอใจ

คุณอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง คุณอาจจะดีใจตอนที่มีคนแจ้งข่าว แต่ความพอใจนั้นก็มีแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ในไม่ช้า คุณก็จะไม่รู้สึกอะไร และหากปีหน้าคุณไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง คุณก็จะมีความทุก อาจจะมีความทุกมากขึ้นด้วยซ้ำ เทียบกับหากคุณไม่ได้รับการ promote ตั้งแต่แรก

ทำไมมันจึงเป็นเช่นนี้?

ก็ต้องโทษ วิวัฒนาการ (Evolution) ที่ทำให้เรามีความรู้สึกพึงพอใจได้แค่ช่วงสั้นๆ

Evolution ทำให้ระบบสารเคมีในร่างกายปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และการสืบพันธ์ ไม่ใช่เพื่อความสุข

จินตนาการว่าหากคุณเป็นกระรอกกลายพันธุ์ ที่เกิดมาแล้ว กินถั่วเม็ดเดียว ก็มีความสุขตลอดกาล

คุณจะเป็นกระรอกที่โชคดีมาก แต่ชีวิตก็จะสั้นมาก และคุณลักษณะนี้ จะสูญพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งมีชีวิตที่จะรอดและสืบตระกูลได้ ต้องหิวกระหายขึ้นเรื่อยๆ (Hunger for more & Craving for more)

ซึ่งหากความสุขและพึงพอใจนั้นเกิดจากสารเคมีในร่างกาย ก็มีทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนมีความสุขได้ นั่นคือ การควบคุมสารเคมีในสมองโดยตรง (Manipulate Human Chemistry)

จึงจะเห็นได้ว่าการควบคุมความสุขนั้น ก็แบ่งหลักๆเป็นสองส่วน ตามเสาทั้งสอง

  1. Psychological : เราสามารถฝึกจิตเรา ให้ละกิเลสต่างๆ ฝึกให้มันอยู่กับปัจจุบัน เพราะมันเป็นบ่อเกิดของความทุกทั้งสิ้น ดังเช่นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ

  2. Biochemical : สร้างผลิตภันฑ์ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสารเคมีในสมอง เพื่อทำให้มนุษย์มีความสุขตลอดการ

ซึ่งคงไม่ต้องถาม ว่ามนุษย์จะเลือกพัฒนาวิธีไหน

3. Divinity : The Gods of planet Earth

Homo sapien จะกลายเป็นเทพเจ้า (Homo deus – God men)

การอัพเกรดสู่อำนาจแห่งพระเจ้านี้ เกิดจากความก้าวหน้าของ 3 แขนงวิชาสำคัญ คือ

3.1 Biological Engineering
ดัดแปลง เปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม เปลี่ยนวงจรการทำงาน และสารเคมีของสมองมนุษย์
3.2 Cyborg Engineering
ผสานรวมสิ่งมีชีวิต เข้ากับเครื่องมือจักรกลต่างๆ (Merging Organic body with non-organic device)
3.3 Engineering of non-organic being
ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนตร์ และ Neural Network

Homo sapiens จะอัพเกรดตัวมันอย่างเป็นลำดับขั้น จนถึงวันนึงที่ลูกหลานเรามองย้อนกลับมาและพบว่าเขาเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับเรา

ซึ่งที่จริง กระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ในยุคที่ผู้คนพึ่งsmart phone มากขึ้น ยุคที่มีการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงใบหน้า เปลี่ยนแปลงรูปร่าง ยุคที่ใช้ยาควบคุมความรู้สึกต่างๆในสมองของตนเองมากขึ้น จนเป็นเรื่องปกติ

ดูเหมือนว่าอนาคตนั้น มนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรง โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดประโยชน์หรือโทษอะไรยังไงบ้าง

จะดีกว่าใหม หากเราพยายามชะลอให้มันค่อยๆเป็นค่อยๆไป?

คำตอบคือ เป็นไปไม่ได้ นั่นเพราะ

  1. ไม่มีใครเข้าใจปัญหาทั้งหมด ทุกคนเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง ข้อมูลมันมหาศาลเกินไปที่จะมีใครคนใดคนหนึ่ง เข้าใจถึงปัญหาทั้งหมด

  2. ถ้าสมมติว่าเราสามารถชะลอการเปลี่ยนแปลง นั่นหมายถึงเราชะลอการเติบโต ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดพังพินาศ และสังคมมนุษย์ก็จะพังไปด้วย เพราะเศรษฐกิจทุนนิยมของเราดำเนินได้ด้วยความเชื่อที่ว่ามันจะโตขึ้นเรื่อยๆ หากวันใดเศรษฐกิจหยุดโต หายจะก็จะมาถึง ทุนนิยมนี่เองที่ส่งเสริมให้มนุษย์แสวงหาสิ่งใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ

แล้วเราสามารถทำนายได้ใหมว่าจะเกิดอะไรในอนาคต?

ไม่ได้ เนื่องจากสิ่งที่เรียกว่า Paradox of knowledge

  1. หากเรามีข้อมูลน้อย หรือไม่ได้มีข้อมูลที่มีผลกระทบอะไร มันก็จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ (Knowledge that dose not change behavior is useless)

  2. แต่หากเรามีข้อมูลมากพอ และเรามีข้อมูลที่ดีพอที่สามารถเปลี่ยนการกระทำของเราได้ ข้อมูลนั้นก็จะสูญเสียความสำคัญไปในไม่ช้า (Quickly lose its relevance) -> ยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ว่าจะเกิดอะไร มันก็จะไม่เกิดขึ้นจริง

ยกตัวอย่าง Karl Marx ที่ทำนายว่า ในไม่ช้า ระบบทุนนิยม จะทำให้ชนชั้นทางสังคม เหลื่อมล้ำกันมากขึ้น นำไปสู่การแตกหักระหว่างชนชั้น และจบลงด้วยการล่มสลายของทุนนิยม -> แต่ปรากฏว่าข้อมูลอันหลักแหลมนี้ ก็ทำให้พวกทุนนิยมสามารถใช้มันมาป้องกันแก้ไขสิ่งที่จะเกิดขึ้น “Commune”ที่ Marx ทำนายไว้ จึงไม่เกิดขึ้นจริง

ยิ่งเรามีข้อมูลมากเท่าไหร่ รู้ดีเท่าไหร่ สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น ทำให้เราทำนายอนาคตไม่ได้

… แล้วเราจะศึกษาประวัติศาสตร์ไปทำไม?

คำตอบคือ

“Each and Everyone of us has been born into a given historical reality, ruled by particular norms and values, and managed by a unique economic and political system. We take this reality for granted, thinking it is natural, inevitable and immutable” – Yuval Noah Harari

เราอาจจะคิดว่าเราเกิดมาในโลกที่มันเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว โลกที่เราเกิดมา มันมีความเชื่อเช่นนี้ มีระบบเช่นนี้ เป็นธรรมดา และเราทำอะไรมันไม่ได้ แต่อันที่จริงแล้วโลกที่เราอยู่ เป็นผลจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดมาในอดีต และส่งผลกระทบเป็นห่วงโซ่ตามๆกันมา

สิ่งต่างๆที่เกิดในอดีต ต่างเป็นปัจจัยหนึ่งที่มา Shape เทคโนโลยี การเมือง สังคม และ ความคิด ความกลัว ความฝันของเรา

มันเหมือนกับมีมือของบรรพบุรุษจากหลุมศพ มาตรึงรัดคอของเรา ให้เรามองไปยังเป้าหมายเพียงอันเดียว มันเล่นงานเราตั้งแต่เกิด ทำให้เราอาจไม่เคยพยายามสะบัดคอหนีมัน และหลุดออกจากมันได้

การศึกษาประวัติศาสตร์ เป็นการพยายามที่จะลดความแน่นจากการถูกบีบคอนี้ (Loosen the grip from the past) ทำให้เรามองเห็นตัวเลือกมากขึ้น เห็นสิ่งบรรพบุรุษของเราไม่เคยเห็น หรือ ที่ไม่ต้องการให้เราเห็น

ประวัติศาสตร์ไม่ได้ช่วยเราในการตัดสินใจในการเลือกสิ่งต่างๆ แต่มันช่วยให้เราเห็นตัวเลือกมากยิ่งขึ้น ( Studying history will not tell us what to choose , but at least It gives us more options. )

The Lawn

Harari ยกตัวอย่างเรื่องสนามหญ้า

หากคุณจะสร้างบ้านสักหลัง คุณอยากมีสนามหญ้าหน้าบ้านหรือไม่

ถ้าคุณอยากมี คุณจะมีไปทำไม?

คุณอาจจะคิดว่า ก็มันสวยดี ใครๆเขาก็มีกัน ถามอะไรแปลกๆ

ประเด็นคือมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?

ประวัติศาสตร์บอกเราว่า สนามหญ้า ไม่เคยมีอยู่ในถิ่นอาศัยของมนุษย์ถ้ำ ในวิหารกรีซ ในกรุงโรม หรือ ในพระราชวังต้องห้ามของจีน

วัฒนธรรมการทำสนามหญ้าสวยๆไว้ต้อนรับแขก เกิดในพระราชวังของอังกฤษและฝรั่งเศส ในช่วงยุคกลาง

น่าเหลือเชื่อว่านิสัยนี้ยังฝังรากลึก และกลายเป็นเครื่องหมายของความเป็นชนชั้นนำ ในยุคสมัยใหม่นี้

เมื่อคิดในด้านอรรถประโยชน์ สนามหญ้านั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์มาก คุณต้องลงแรง ลงเงิน ทนุถนอมมันอย่างดีเพื่อจะได้มีผืนหญ้าสวยๆไว้โชว์หน้าบ้าน มันไม่ได้มีคุณค่าอะไรอื่นเลย จะเอาพื้นที่มาเพาะปลูกก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้

สนามหญ้าจึงเป็นเครื่องหมายของความผู้มีความมั่งคั่งและอำนาจ

คุณจึงเห็นสนามหญ้าผืนใหญ่ในพระราชวัง ในสถานที่สำคัญของทางราชการ ในสนามกีฬา

ไปๆมาๆ มนุษย์ก็เลยโยง “สนามหญ้า” เข้าด้วยกับ อำนาจทางการเมือง หน้าตาทางสังคม และความมั่งคั่งส่วนตน

ดังนั้นหากในอนาคตคุณต้องการมีสนามหญ้าเป็นของตัวเอง ลองถามตัวเองสักครั้งว่า คุณต้องการมันไปทำไม?

แน่นอน สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คราวนี้คุณก็จะมีความเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมคุณถึงต้องนึกถึงสนามหญ้า?

นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุดของการศึกษาประวัติศาสตร์

มิใช่เพื่อทำนายอนาคต แต่เพื่อปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากอดีต เพื่อให้คุณเห็นทางเลือกที่มากขึ้น

“Not in order to predict the future , But to free yourself of the past and imagine alternative destinies”

ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจถึง ความเป็นไปได้ของมนุษย์…หนังสือเล่มนี้จะพยายามหาคำตอบว่า
  1. แท้จริงแล้ว Homo Sapiens คืออะไร มันแตกต่างกันอย่างไรกับสัตว์ชนิดอื่นๆ อะไรทำให้มันพิเศษ เพื่อเป็นการทำนายว่า ถ้าอนาคตเกิด SuperHuman ขึ้นมาจริงๆ เขาจะรู้สึกกับพวกเราเหล่า Sapiens ที่ล้าหลัง อย่างไร?

  2. Homo Sapiens ที่เคยใช้เวลาเกือบทั้งหมดของเผ่าพันธ์ เชื่อในภูติผี เชื่อในพระเจ้า เชื่อในอำนาจลึกลับ มาลงเอยด้วยการเชื่อใน Humanism ได้อย่างไร? Humanism คือความเชื่อว่า ตัวมันเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล และเป็นต้นกำเนิดของทุกๆความหมายและความชอบธรรมต่างๆ ในโลก …ความเชื่อนี้ ได้เปลี่ยนแปลงมนุษย์ไปอย่างไรบ้าง

  3. ทำไมความพยายามที่จะสานฝัน Humanism จะนำไปสู่การสูญสิ้นความหมายของ Sapiens เสียเอง …และหาก Humanism อยู่ในอันตราย จะมีอะไรมาแทนที่มัน?

Part 1 : Homo Sapiens Conquers the World

บทที่ 2 : The Anthropocene

ปัจจุบันนี้เราอยู่ในยุค Holocene ซึ่งเป็นการแบ่งยุคของโลกตามธรณีวิทยา ยุค Holocene เริ่มขึ้นตั้งแต่ 11,500 ปีก่อน หลังจากที่ยุคน้ำแข็งยุติลง

แต่คุณอาจจะเรียก 70,000 ปีที่ผ่านมาว่ายุค Anthropocene ซึ่งหมายถึงยุคที่ Homo sapiens ขึ้นมามีบทบาทต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทั่วทั้งโลก ซึ่งนี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน ที่มีสิ่งมีชีวิตแค่ Species เดียว จะสามารถกำหนดความเป็นไปของระบบนิเวศวิทยาทั้งหมดของโลกใบนี้ได้

มนุษย์ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ และระบบนิเวศวิทยาในโลกเปลี่ยนไป แบบที่ปรากฏการณ์ธรรมชาติไหนๆ ก็ยังทำไม่ได้ เพราะมนุษย์ได้เปลี่ยนโลกนี้เป็น Single Ecosystem

Serpent children

หลักฐานทางมานุษวิทยาต่างๆ ชี้ว่า ในอดีต เหล่า Sapiens ที่ใช้ชีวิตแบบ Hunter-Gatherer นั้นน่าจะเป็น Animism คือกลุ่มที่เชื่อในเรื่องภูติผีปีศาจ เชื่อว่ามีวิญญาณในต้นไม้ ก้อนหิน ในสัตว์ป่าต่างๆ พวกเขาเชื่อว่าคนและสัตว์อื่นๆ เท่าเทียมกัน ไม่มีช่องว่างใดแยก โลกนี้เป็นของทุกสิ่งมีชิวิต ไม่ว่าจะสัตว์ พืช หรือก้อนหิน

ที่น่าสนใจคือ ในตำนานของ Animism หลายๆแห่ง จะมีความเชื่อว่าคนพัฒนามาจากงู หรือสัตว์เลื่อยคลานต่างๆ

ในขณะที่ผู้แต่งคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมาทีหลัง ปฏิเสธความเชื่อนี้ของ Animism นี้ ปฏิเสธความเชื่อว่าคนพัฒนามาจากงู เพราะคนนั้นถูกสร้างโดยพระเจ้า ส่วนงูคือสิ่งที่จะนำมาพาซึ่งหายนะ นำมาซึ่งความเสียหายระหว่างมนุษย์ กับพระเจ้า

เรื่องตลกคือ เมื่อวิทยาศาสตร์พบว่าสมองของเราก็พัฒนามาจากสมองสัตว์เลื้อยคลานอีกที (limbic system) การค้นพบนี้ก็ทำ ความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า เสียหายไปจริงๆ

Ancestral need

Harari เสนอว่า ที่มาของคัมภีร์ศาสนา เช่น คัมภีร์ Bible และความเชื่อต่างๆที่บอกว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นนั้น เป็น ผลพลอยได้ (By product) ของการปฏิวัติทางเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) อีกที

Agricultural revolution ทำให้เกิดการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในปัจจุบัน จำนวนสัตว์ใหญ่บนโลกกว่า 90% ก็คือพวกสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ทำประโยชน์นี้เอง (เช่น หมู ไก่ และวัว)

แม้สัตว์เลี้ยงต่างๆเหล่านี้ จะสามารถรอดชีวิตได้ มีคนคอยดูแล แต่มนุษย์ทำให้มันทรมานเป็นอย่างมาก

ที่ว่าทรมาน มิใช่ว่าสุดท้ายมันต้องตาย เพราะอยู่ในป่ามันก็โดนสิงโตจับกินเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะมนุษย์เลิกมองว่าสัตว์เหล่านี้มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

มนุษย์มองว่าสัตว์เหล่านี้ด้อยกว่า มันจึงถูกจับ หรือเพาะเลี้ยงให้อยู่แต่ในกรงแคบๆ แม้จะมีคนคอยเอาอาหารมาให้ แต่มันไม่ได้ใช้ชีวิต ไม่ได้มีปฏิสัมพันกับสัตว์อื่นๆ สัตว์ตัวเมียที่มีลูก ก็ไม่ได้โอกาสสร้าง bond กับลูกๆของมันแต่อย่างใด

พวกมันไม่ได้แม้แต่จะเดินเล่น ซึ่งทำให้มันยังคงทรมานอย่างมาก เนื่องจาก Gene ที่ต้องการทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็ยังอยู่กับมัน ไม่ได้หายไปไหน แม้จริงๆแล้วมันอยู่รอดได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

Organism and algorhythm

คิดไปเองหรือปล่าว ว่าสัตว์พวกนั้นมันจะมีความทุกข์หรือทรมานจริงๆ?

เรารู้ได้ยังไงว่าพวกหมู หรือวัว ที่เราเลี้ยงไว้ในกรงแคบๆ เพื่อรอโดนกินนั้น มีความต้องการ มีอารม มีความรู้สึก (Emotion) เหมือนที่มนุษย์มี?

Harari เสนอว่า Emotion ต่างๆนั้นไม่ได้เป็นสิ่งลี้ลับอะไร แท้จริงแล้ว Emotion ก็คือ Biological Algorithm ชนิดหนึ่ง

Algorithm คือสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอด และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และอย่างน้อย มันก็มีอยู่ใน mammal ทุกชนิด

Algorithm คืออะไร ?

Algorithm คือ Set ของขั้นตอน กระบวนการต่างๆ ที่ใช้ในการคำนวณ ใช้ในการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ

Harari เสนอว่า Algorithm จะกลายเป็น concept ที่สำคัญอย่างมากในการเข้าใจโลกและอนาคต

เราอาจจะเคยชินกับการใช้คำนี้เมื่อพูดถึงคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ ก็คือ Electrical Algorithm ชนิดหนึ่ง เราใช้มันมาเป็นเครื่องมือ ใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆได้ เช่น การใช้ algorithm ในการหาค่าเฉลี่ยของตัวเลข2ตัว คุณก็ตั้งค่าโปรแกรม ให้มันเอาตัวเลข2ตัวนั้นบวกกัน แล้วหารสอง

ขั้นตอนที่มีการเอาเลขมาบวกกัน แล้วหารสอง นี้คือ Algorithm ในที่นี้ก็คือ Electrical Algorithm นั่นเอง ซึ่งทำตัวเป็นตัวกลาง คุณแค่ป้อน Input ลงไป แล้วมันจะหา Output ให้คุณเอง

คนก็เป็น Algorithm เหมือนกัน แต่เป็น Biological Algorithm

คนเป็น Algorithm ที่มีชุดคำสั่งคือ ทำอะไรก็ได้ ให้มันอยู่รอด และสามารถสืบพันธุ์ ซึ่งชุดคำสั่งนี้ก็มีอยู่ใน Gene ของเรานั่นเอง

หาก Electrical Algorithm ที่คุมเครื่องทำกาแฟ ทำงานโดยผ่าน ฟันเฟือง และวงจรไฟฟ้า

Biolgical Algorithm ที่ควบคุมมนุษย์ และสัตว์อื่นๆในการทำงาน ก็ทำงานในรูปแบบของความรู้สึก และความนึกคิด (Sensation , Emotion and Thought)

สมมุติว่าลิงตัวหนึ่งเห็นกล้วย และเห็นสิงโตอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะต้องมีข้อมูล Input ผ่านสมองลิงที่เป็น Algorithm แล้วแปลงเป็น output ซึ่งก็คือการกระทำต่างๆ

Input ก็จะแบ่งอีกเป็น 2 พวก คือ

  1. External Input : เช่น กล้วยมีกี่ลูก กล้วยสุกหรือดิบ กล้วยอยู่ใกล้แค่ไหน สิงโตตัวนั้นหิวหรืออิ่มอยู่ อยู่ไกลแค่ไหน ถ้าสิงโตวิ่งมา มันจะหนีทันมั้ย
  2. Internal input : ซึ่งก็ขึ้นกับว่าตอนนั้นมันอยู่ในสภาพไหน ถ้ามันหิวจนใกล้ตาย มันก็คุ้มที่จะแลกด้วยชีวิต ถ้ามันพึ่งกินมา มันจะเสี่ยงตายไปทำไม

การที่สิ่งมีชีวิตใช้ input ทั้งหลายมาหาน้ำหนัก มาคำนวณความเป็นไปได้ ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร มาคำนวณข้อดีข้อเสียของ Action นั้นๆ ก็ต้องผ่าน algorithm ที่ซับซ้อนมากมายกว่าเครื่องทำกาแฟ

ลิงที่คำนวณความน่าจะเป็นต่างๆได้ดี รางวัลตอบแทนนั้นก็คือความอยู่รอด เมื่อยู่รอดมันก็สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมของมันต่อไปได้

แน่นอนว่าลิง ไม่สามารถคำนวณความน่าจะเป็นออกมาเป็นตัวเลข หรือสามารถ List Pro-Cons ออกมาเป็นรูปธรรมได้ แต่มันใช้ทั้งตัวของมันในการตัดสินใจ ใช้ตัวมันเป็นเครื่องคำนวณ โดยอาศัยข้อมูลจาก External input และ internal input

จึงกล่าวได้ว่า ตัวมัน ก็คือ Biological Algorithm นั่นเอง

ดังที่ได้กล่าวว่า Algorithm ไม่ได้มีบทบาทแค่ในการเอาตัวรอด แต่ในการสืบพันด้วย เวลาคุณเห็นคนหน้าตาสวยๆ ในไม่กี่ชั่วพริบตาคุณอาจจะแปลผลได้เลย ว่าผู้หญิงคนนี้น่าตาดี มี Gene ที่ดี เหมาะกับเป็นแม่ของลูก ผ่าน Algorithm ที่พัฒนาและอยู่ในตัวคุณมาอย่างยาวนานหลายล้านปี

99% ของการตัดสินใจในชีวิตเรานั้น ไม่เว้นแต่การตัดสินใจสำคัญๆในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่เรียน คู่ชีวิต ที่อยู่อาศัย ต่างก็ผ่านการใช้ Algorithm ทั้งนั้น

แล้ว Algorithm เกี่ยวข้องอะไรกับความรู้สึก?

ความรู้สึกคือ Input แบบหนึ่ง

ถ้าเราเชื่อว่า Algorithm นั้นควบคุมการอยู่รอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีก และอาจจะรวมถึงสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์น้ำ –> เราจึงอาจ Assume ได้ว่า พวกสัตว์ต่างๆ ก็มีความรู้สึกด้วย

แน่นอนว่าความรู้สึกของสัตว์นั้น ก็คงไม่เหมือนมนุษย์

หมูคงไม่มีความรู้สึก’ทึ่ง’เวลามันเห็นดาวสวยๆ บนท้องฟ้า แต่เชื่อว่าความรู้สึกที่ทุก mammal มีเหมือนกัน คือความรู้สึกของสายสัมพันธ์แม่ลูก ( Mother-infant Bond )

เรารู้ว่าในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลูกที่เกิดใหม่นั้นไม่สามารถรอดได้ หากไม่ได้นมจากแม่ของมัน แต่อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน คือความรู้สึกอบอุ่น ที่ได้มาจากความใกล้ชิดกันของแม่และลูก -> สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นวัยทารก ต้องการ mammal bond ด้วย จึงจะอยู่รอดได้นาน ดังจะเห็นได้จากการศึกษาของ Harry Harlow ซึ่งศึกษาเปรียบเทียบชีวิตของลูกลิงที่เลี้ยงไว้กับหุ่นเหล็ก และหุ่นที่บุผ้านวม

ถ้าเราเชื่อว่า การที่ลูกสัตว์และแม่สัตว์ถูกพรากความรู้สึก Mammal bond แล้วจะเกิดความทุกข์ อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อ และนม ก็ทำให้สัตว์หลายพันล้านตัวในแต่ละตัว ต้องทุกทรมาน

The Agricultural Deal

ถามว่าคนเลี้ยงสัตว์รู้ถึงปัญหาความทรมานของสัตว์นี้หรือไม่? … ก็น่าจะรู้

คำถามคือเหล่าคนที่เลี้ยงสัตว์นี้ Deal กับความรู้สึกผิดได้ยังไง?

Harari เสนอว่า พวกเขา Justify การกระทำนี้ ผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นมาในช่วง Agricultural Revolution นั่นก็คือ ศาสนา

จากความเชื่อเดิมของ Animist ที่คน สัตว์ พืช เท่าเทียมกัน พึ่งพาอาศัยกัน การมาของศาสนาทำให้มีผู้เล่นใหม่หน้าใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ พระเจ้า

ศาสนานั้นยกระดับของพระเจ้าให้เหนือมนุษย์ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้วยนั้น ก็คือการยกระดับของมนุษย์ขึ้นไปด้วยกัน

พระเจ้ามีบทบาทในแง่นี้ 2 อย่าง

  1. พระเจ้าช่วยอธิบายว่าทำไมSapiens จึงพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และทำไมเขาจึงควรปกครองสัตว์ต่างๆ :

    เช่น ในเรื่องน้ำท่วมโลกของศาสนาคริส พระเจ้าเห็นสมควรที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์ทุกชนิดบนโลก เพื่อเป็นการลงโทษบาปของมนุษย์ เรือ Noah ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการอพยพมนุษย์และสัตว์โลกต่างๆให้รอดพ้นจากวันล้างโลก ซึ่งในภายหลัง พระเจ้าเองก็รู้สึกพลาด เนื่องจากจะไม่มีใครมา Offer สิ่งบูชายันให้อีกต่อไป พอเมื่อน้ำท่วมหาย พระเจ้าจึงได้สัตว์ต่างๆเป็นบูชายันอีกครั้ง และทำให้พระเจ้าไม่คิดจะทำให้เกิดเหตุกาณ์นี้ขึ้นอีก

  2. พระเจ้าเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างมนุษ์ และธรรมชาติ
    เช่น ใน Animist ถ้าคุณอยากให้ฝนตก คุณก็ต้อง บูชาก้อนเมฆ หากอยากให้ผลไม้ออก คุณก็บูชาต้นไม้
    แต่การบูชาพระเจ้า ก็จะให้คุณได้ทั้งฝน ได้ดินอุดสมบูรณ์ ได้พืชพรรณที่เจริญงอกงามดี แค่คุณต้องมีอะไรไปแลกเปลี่ยน เช่น เหยื่อบูชายัน

แน่นอน ในหลายๆศาสนา เช่น พุทธ ฮินดู ก็มีการแสดงความเมตตาต่อสัตว์ แต่ก็จำเพาะเจาะจงเป็นรายกรณีไป และมักจะมีช่องทางใดช่องทางหนึ่งที่เปิดช่องให้พอใช้ประโยชน์จากสัตว์ต่างๆได้ เช่น หากกินเนื้อวัวไม่ได้ เราก็กินนมวัวได้

จะเห็นได้ว่าการที่มนุษย์ตกลงปลงใจไปกับ Agricultural Deal นี้เอง ทำให้มนุษย์เชื่อว่า มี cosmic force ที่ให้พลังแก่มนุษย์ในการมีอำนาจเหนือสัตว์ต่างๆ โดยมีเงื่อนไขที่ต้องยอมรับต่างกันไปในแต่ละศาสนา

ในขณะที่ Hunter Gatherer ต้องสนใจความรู้สึกว่ากวางตัวนั้นคิดอะไรอยู่ สิ่งโตตัวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดโดยตรง

Agriculture Revolution ได้แยกมนุษย์ ให้มีลำดับชั้นเหนือกว่าสัตว์อื่นๆ

Agriculture revolution จึงเป็นทั้ง economic และ religious revolution

มันทำให้ เกิดระบบเศรษฐกิจ เกิดลำดับขั้นของมนุษย์แบบใหม่ๆ และเกิดศาสนาแบบใหม่ ที่ยอมให้มนุษย์เอาเปรียบสัตว์ตัวอื่นๆได้

ที่น่าสนใจคือ กระบวนการลดคุณค่าความสำคัญ ( Degrade) สัตว์ชนิดอื่นๆ จากเป็นเพื่อนร่วมโลก จนกลายเป็นสมบัติของมนุษย์นั้น ก็ไม่ได้หยุดแค่สัตว์ร่วมโลก ท้ายสุดมันก็วกมาทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง ดังที่เราเห็นตั้งแต่สมัยโบราณ ที่มีทั้งการค้าทาส การค้ามนุษย์ การแบ่งวรรณะ การเหยียดผิว เป็นต้น

Five Hundred Year of Solitude

Animism : เมื่อนายพรานโบราณออกล่าสัตว์ เขาขอความช่วยเหลือจากวัวป่า และวัวป่าก็ขอบางอย่างเป็นสิ่งตอบแทน

Agricultural Revolution :เมิ่อชาวนาโบราณขอให้วัวของเขาผลิตนมเยอะๆ เขาขอพรพระเจ้า พระเจ้าก็ขอสิ่งตอบแทน

Scientific Revolution: เมื่อนักวิทยาศาสตร์ ของ Nestle’ ต้องการเพิ่มผลผลิตนมวัว พวกเขาศึกษาGene และ Gene ไม่ต้องอะไรตอบแทน!

ถ้า Agricultural Revolution นำมาซึ่งศาสนาแห่งเทพเจ้า (Theism)

Scientific Revolution ก็นำมาซึ่ง ศาสนาแห่งมนุษย์ (Humanist religion/ Humanism)

มนุษย์ขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งพระเจ้า และบูชาความรู้สึก ตัวตนของมนุษย์ด้วยกัน และนั่นหมายถึงว่า สัตว์ต่างๆ ก็ยิ่งมีสำคัญน้อยลงไปอีก

แต่ผิดคาด…ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มแสดงความเห็นแกเห็นใจสิ่งมีชิวิตร่วมโลกมากขึ้น เหตุผล? หรือว่ามนุษย์กลัวจะกลายเป็น Lower life form ไปด้วย?

ปัญหาคือ แล้วอะไรหละ ที่ทำให้มนุษย์ มีคุณค่ากว่าสัตว์ ?

…เพราะเราฉลาดกว่างั้นหรือ?

ถ้าหาก Computer program พัฒนาจนถึงขั้นมี Superhuman intelligence จนมันเลียนแบบสมองมนุษย์ได้ และมันฉลาดกว่าเรา

…มันจะมีค่ากว่าเราหรือไม่?

จะโอเคมั้ยถ้า AI ใช้ประโยชน์คนแบบทิ้งๆขว้างๆ หรือฆ่าคนได้เมื่อมันต้องการ เหมือนที่เราทำกับ หมู เห็ด เป็ด ไก่?

ถ้ามันไม่โอเค มันไม่ควรเกิดขึ้น AI ไม่มีสิทธิ์หรือความชอบธรรมมาทำร้ายเรา แม้มันจะเก่งกว่า ฉลาดกว่ามนุษย์สักแค่ไหน …

ก็จะพาเราสู่คำถามสำคัญ ที่ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น นั่นคือ มนุษย์มีความชอบธรรมอะไรที่จะไปทรมานสัตว์อื่นๆ หรือ ฆ่าสัตว์ตัวอื่นๆได้หละ?

หรือเพราะมนุษย์มี ประกายเวทมนตร์วิเศษ (Magical Spark) อะไรบางอย่าง ที่ทำให้เผ่าพันธุ์นี้เหนือกว่า และ แยกออกมาได้จาก หมู ไก่ ชิมแปนซี หรือแม้แต่ Super AI

ถ้าใช่ … Spark ที่ว่านั้นมาจากไหน แล้วทำไม AI จะไม่สามารถพัฒนามันได้เหมือนเราหละ

อะไรกันแน่ที่ทำให้มนุษย์ฉลาด และมีอำนาจจนมาถึงจุดนี้ได้?

คำถามนี้สำคัญ เพราะมันจะช่วยตอบว่า ถ้าในอนาคต มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (Entity) ที่เหนือกว่า Sapiens และเอาชนะเราได้ อนาคตของ Sapiens จะกลายเป็นอย่างไร? และช่วยตอบว่า จะมี Entity ใด สามารถเอาชนะเราในอนาคตได้หรือไม่?

Source : www.theobservingmind.co