สรุป Sapiens - A brief history of humankind

สรุป Sapiens : A brief history of humankind

สรุปนี้เกิดจากมุมมองของโฮโมเซเปียนส์ที่เติบโตในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ในระเบียบแบบแผนตามจินตนาการของรัฐชาติที่ไม่เคยถูกครอบครองโดยจักรวรรดิใดๆ เชื่อในความจริงตามจินตนาการของระบบตลาดเสรีและทุนนิยม อาจมีมุมมองเอนเอียงไปบ้างเนื่องจากจะเก็บสรุปไว้อ่านส่วนตัว

  • 13,500 ล้านปีที่แล้ว สสาร พลังงาน พื้นที่ และเวลา ได้รวมตัวกันเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ Big Bang เกิดเป็นเอกภพของเรา เรื่องราวเกี่ยวกับเอกภพเราเรียกว่า “ฟิสิกส์”
  • 300,000 ปีถัดมา สสารและพลังงานเริ่มรวมตัวกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า “อะตอม” ซึ่งรวมตัวเป็นโมเลกุลอีกที เรื่องราวเกี่ยวกับอะตอมและโมเลกุลเราเรียกว่า “เคมี”
  • 3,800 ล้านปีที่แล้ว บนดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก โมเลกุลได้รวมตัวเป็นโครงสร้างซับซ้อน เรียกว่า “สิ่งมีชีวิต” เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเรียกว่า “ชีววิทยา”
  • 70,000 ปีมาแล้ว สิ่งมีชีวิตในสปีชีส์ โฮโมเซเปียนส์ ก่อรูปโครงสร้างสังคมที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” พัฒนาการทางวัฒนธรรมของสปีชีส์นี้เรียกว่า “ประวัติศาสตร์”
  • Species หมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่สามารถผสม DNA กันได้, มี DNA Pool เดียวกัน
  • สกุล(Genus) คือ สปีชีส์ของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการจากบรรพบุรุษร่วมกัน เช่น Homo Sapien เป็นสิ่งมีชีวิตสกุล Homo ในสปีชีส์ Sapien, สิงโต เสือ เสือดาว เป็นสัตว์ต่างสปีชีส์กัน แต่อยู่ในสกุล Panthera
  • วงศ์(Family) กลุ่มของสกุล เช่น วงศ์ของแมว ได้แก่ เสือชีตาห์ สิงโต แมว วงศ์ของช้าง ได้แก่ ช้าง แมมอธ มาสโตดอน เป็นต้น
  • โฮโมเซเปียนส์เป็นสมาชิกของวงศ์หนึ่งในอาณาจักรสัตว์
  • ซิมแปนซี กอริลลา อุรังอุตัง และโฮโมเซเปียนต่างก็เป็นสมาชิกของวงศ์ลิงยักษ์ หรือ Great Apes กล่าวคือ หกล้านปีก่อนวานรหนึ่งนางมีลูกสาว 2 นาง นางหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของซิมแปนซีและลิงอื่นๆ อีกนางเป็นบรรพบุรุษของโฮโมเซเปียนส์
  • โฮโมเซเปียน ไม่ได้เป็นมนุษย์เพียงสกุลเดียวที่เคยมีอยู่บนโลก โลกเคยมีมนุษย์(หรือ Species Sapiens)หลากหลายสกุลอยู่อาศัย จนกระทั่งเหลือเพียงโฮโมเซเปียน
  • สิ่งที่คาดการณ์กันว่าทำให้พื้นโลกเหลือเซเปียนอยู่เพียงสกุลเดียวเริ่มต้นมาจากการใช้งานสิ่งที่เรียกว่า “ภาษา”
  • ภาษาทำให้โฮโมเซเปียนสามารถสื่อสารได้ซับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆและเซเปียนสกุลอื่น นั่นคือโฮโมเซเปียนสามารถใช้ภาษาสื่อสารถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงได้
  • ลิงก็สามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาได้ รวมทั้งสัตว์สปีชีส์อื่นก็ทำได้เช่นกัน รวมทั้งมนุษย์สกุลอื่น แต่ทั้งหมดไม่สามารถสื่อสารถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงได้
  • การใช้ไฟและอาวุธ เซเปียนส์สกุลอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน
  • ารที่โฮโมเซเปียนส์สามารถสื่อสารถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในโลกกายภาพได้ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความจริงในจินตนาการ”
  • การสร้างความจริงในจินตนาการขึ้นเป็นประโยชน์ต่อโฮโมเซเปียนส์ มันสร้างสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า เทพ วิญญาน ตำนานและเรื่องเล่าต่างๆ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มของโฮโมเซเปียนส์ที่เชื่อในความจริงในจินตนาการร่วมกัน
  • ความจริงในจินตนาการที่ก่อรูปสร้างสังคมของโฮโมเซเปียนส์ ที่เห็นชัดเจนที่สุด ตัวอย่างหนึ่งในยุคสมัยใหม่คือความจริงในจินตนาการเกี่ยวกับ บริษัทจำกัด มูลค่าของเงินตรา ชาติ สิทธิ เสรีภาพ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริงในโลกทางกายภาพ มีจริงเฉพาะในจินตนาการร่วมกันของโฮโมเซเปียนส์
  • บริษัทจำกัดเป็นเรื่องเล่าที่ถูกต้องตามกฏหมายถูกสร้างขึ้นเพื่อแยกบุคคลออกจากนิติบุคล เพื่อให้โฮโมเซเปียนส์ สามารถค้าขายได้โดยที่ไม่ต้องเอาสิ่งของส่วนตัวไปเสี่ยง หากความจริงในจินตนาการที่เรียกว่าบริษัทล้มละลายหรือเสียหาย ตัวบุคคลไม่ได้ล้มละลายไปกับบริษัท
  • การตวัดปากกาเพื่อจัดตั้งบริษัทจึงเป็นการท่องมนต์ นักธุรกิจและทนายก็คือพ่อมดสมัยใหม่
  • การปฏิวัติเกษตรกรรมทำให้โฮโมเซเปียนส์ควบคุมปัจจัยการผลิตอาหารได้มากขึ้น แต่ก็ทำให้โฮโมเซเปียนส์โดยรวมได้รับสารอาหารที่หลากหลายน้อยลงกว่าการใช้ชีวิตแบบพรานป่าล่าสัตว์
  • ความจริงในจินตนาการทำให้โฮโมเซเปียนส์สร้างสิ่งที่มีผลสะเทือนต่อประวัติศาสตร์สิ่งหนึ่งขึ้นมา สิ่งนั้นเรียกว่า “จักรวรรดิ”
  • การปฏิวัติเกษตรกรรมเปลี่ยนสังคมของโฮโมเซเปียนส์จากพรานป่าล่าสัตว์มาเป็นสังคมเกษตร การใช้ชีวิตในสังคมเกษตรสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นในจิตใจของโฮโมเซเปียนส์คือ “ความกังวลเกี่ยวกับอนาคต” เนื่องจากผลผลิตขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้คือฤดูกาล สภาพอากาศ
  • ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตทำให้โฮโมเซเปียนส์สร้างความจริงในจินตนาการของสิ่งที่ทรงสรรพฤทธานุภาพขึ้นมา เช่น วิญญาน พระเจ้า เทพ อาตมัน เรียกแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับอนาคต ด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่ทรงสรรพฤทธานุภาพสามารถช่วยให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
  • ความจริงในจินตนาการทำให้โฮโมเซเปียนส์สร้าง “ระเบียบแบบแผนตามจินตนาการ”(Imagined Order) ขึ้นมา ซึ่งสามารถส่งระเบียบแบบแผนนี้ต่อไปยังโฮโมเซเปียนส์รุ่นถัดไปได้ ตัวอย่างที่เห็นชัด เช่น ศาสนา ความเป็นรัฐชาติ เป็นต้น(ส่วนตัวชอบคำนี้และเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ)
  • ระเบียบแบบแผนตามจินตนาการสอดแทรกอยู่ในเทพนิยาย ละคร ภาพวาด เพลง โฆษณา ฯลฯ
  • มีปัจจัยสามอย่างที่ป้องกันไม่ให้ผู้คนตระหนักว่ามีระเบียบแบบแผนตามจินตนาการ และป้องกันไม่ให้ ผู้คนรู้ว่าระเบียบแบบแผนตามจินตนาการคอยบังคับควบคุมชีวิต
  1. มีระเบียบแบบแผนตามจินตนาการอยู่ในโลกทางวัตถุรอบตัวเรา เช่น ภาพ อาคาร สื่อ เป็นต้น
  2. ระเบียบแบบแผนตามจินตนาการเป็นตัวกำหนดความต้องการของเรา เราล้วนเกิดขึ้นมาภายใต้ระเบียบแบบแผน ตามจินตนาการที่มีอยู่ก่อนแล้ว และความต้องการหลักๆของเรา ถูกกำหนดไว้ก่อนแล้วด้วยตำนานที่มีอยู่ก่อน เช่น แนวคิดแบบตะวันตกที่เกิดจากตำนานแบบโรแมนติกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 กับตำนานบริโภคนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่ว่าการจะเข้าถึงศักยภาพของมนุษย์ได้ต้องมีประสบการณ์ให้มากที่สุด และต้องบริโภคสิ่งต่างๆให้หลากหลาย
  3. ระเบียบแบบแผนตามจินตนาการเป็นอัตวิสัยร่วม(inter-subjective)
  • ปรากฏการณ์แบบวัตถุวิสัย(objective) คือปรากฏการณ์ที่ดำรงอยู่ได้โดยไม่ขึ้นกับความเชื่อหรือการรับรู้ของมนุษย์
  • อัตวิสัย(subjective)คือภาวะที่สิ่งนั้นจะดำรงอยู่ได้ต้องอาศัยความเชื่อขอปัจเจกชนหรือใครสักคน
  • อัตวิสัยร่วมคือการรับรู้แบบอัตวิสัยของปัจเจกชนจำนวนมากผ่านเครือข่ายการสื่อสาร หากปัจเจกหายไปสักคนหนึ่ง อัตวิสัยร่วมก็ยังคงอยู่ เช่น การที่คนไทยตายไปหนึ่งคนไม่ได้ทำให้อัตวิสัยร่วมของความเป็นชาติไทยหายไป
  • ศาสนา(ขอละไว้ไม่สรุป กลัวดราม่า)
  • การเกิดขึ้นของจักรวรรดิ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่การที่คนยุคเราเติบโตขึ้นมากับระเบียบแบบแผนตามจินตนาการของโลกตะวันตกเนื่องจากจักรวรรดิตะวันตกสามารถแพร่ขยายไปได้ทั่วโลก
  • การที่จักรวรรดิตะวันตกสามารถแพร่ขยายไปได้เกิดจากความต้องการเผยแพร่ระเบียบแบบแผนตามจินตนาการของตน และมีปัจจัยสนับสนุนคือ วิทยาศาสตร์ และ ทุนนิยม
  • วิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นเพราะโฮโมเซเปียนส์เริ่มเชื่อว่า ยังมีสิ่งที่ไม่รู้
  • หมุดหมายสำคัญของวิทยาศาสตร์คือการนำภาษาคณิตศาสตร์มาใช้
  • หนังสือที่ถือว่าสำคัญที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของวิทศาสตร์ที่จดจารด้วยภาษาคณิตศาสตร์คือ The Mathematical Principles of Natural Philosophy ของ ไอแซก นิวตัน
  • วิทยาศาสตร์ไม่ได้พัฒนาขึ้นอย่างเอกเทศเดี่ยวๆเฉพาะวงการ แต่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา เศรษฐกิจ ด้วย
  • การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่ส่งผลให้จักรวรรดิตะวันตกแพร่กระจายไปได้คือการค้นพบวิธีป้องกันโรคลักปิดลักเปิด ทำให้กองเรือสามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรเป็นเวลานานๆได้
  • พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และทุนนิยมนั้นสนับสนุนกันและกัน แม้จะทรงปัญญาขนาดไหนถ้าหากขาดทุนสนับสนุนแล้ว วิทยาศาสตร์จะพัฒนามาถึงจุดที่เราอยู่ได้ยาก
  • วิทยาศาสตร์ไม่ได้เก่งในการพัฒนาความรู้ใหม่เท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาเพื่อให้ได้อำนาจใหม่ๆ โดยเฉพาะอำนาจ ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และใช้อำนาจนั้นในการช่วงชิงทรัพยากร เป็นลูป การวิจัย > อำนาจ > ทรัพยากร > การวิจัย > อำนาจ > ทรัพยากร >
  • เงินตราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ง่ายในการแลกเปลี่ยน มันไม่ได้มีคุณค่าด้วยตัวมันเอง มันมีคุณค่าอยู่เฉพาะในอัตวิสัยร่วมของโฮโมเซเปียนส์
  • สตาร์ทอัพที่ก่อตั้งขึ้นมาในโลก, ระดมทุนยากที่สุดแล้วส่งผลต่อประวัติศสสตร์ของโฮโมเซเปียนมากที่สุดคือสตาร์ทอัพของโคลัมบัส
  • เงินตราไม่ได้เปลี่ยนแปลงการเติบโตของเศรษฐกิจของโฮโมเซเปียนส์มากนักจนกระทั่งเกิดสิ่งที่เรียกว่า “เครดิต”
  • เครดิต คือการนำเงินตราที่ไม่มีอยู่จริงมาใช้ หรือก็คือเงินตราที่โฮโมเซเปียนส์จะต้องหามาในอนาคตมาใช้ก่อนนั่นเอง
  • เครดิต ถูกสร้างคือบนฐานความเชื่อที่ว่าเงินตรามีอยู่อย่างไม่จำกัดและอนาคตจะต้องดีกว่าวันนี้(อนาคตจะหาเงินตราได้มากขึ้น)
  • เครดิตมีพลังมากขึ้นเมื่อถูกนำไปใช้ปล่อยกู้ในมือของระเบียบแบบแผนในจินตนาการที่เรียกว่า “ธนาคาร”
  • ทุนนิยมกับบริโภคนิยมนั้นเป็นคนละแนวคิดกัน
  • ทุนนิยมว่าด้วยการทำกำไรและลงทุนซ้ำ ดังแนวคิด “ผลกำไรจากการผลิตจะต้องนำมาลงทุนซ้ำเพื่อเพิ่มการผลิต”
  • เวลา ถูกทำให้เป็นสากลและตรวจวัดตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา การดำเนินชีวิต ทำงาน เรียนหนังสือ ตามตารางเวลาเริ่มต้นในยุคนั้น กล่าวคือ เวลาสากลคือระเบียบแบบแผนตามจินตนาการ
  • ความสุขทางจิตวิทยา คือความพึงพอใจ
  • ความสุขทางเคมี คือปฏิกริยาที่ถูกกำหนดโดยฮอร์โมนโดพามีน ออกซิโทซิน เซโรโทนิน
  • การพัฒนาตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของโฮโมเซเปียนส์ ไม่ได้บ่งชี้ว่าปัจเจกชนโดยรวมมีความสุขมากขึ้น ยิ่งไม่ต้องนับรวมถึงความสุขของสปีชีส์โดยรวม
  • ความสุขขึ้นอยู่กับความคาดหวังลบด้วยความจริง
  • การไขว่คว้าหาความสุขคือการไขว่คว้าสภาวะทางอารมณ์บางอย่าง
  • การตามหาความสุข คือการตามหาการหลั่งของโดพามีน ออกซิโทซิน เซโรโทนิน ซึ่งวิวัฒนาการกำหนดให้หลั่งเพียงชั่วครู่หลังจากได้รับการกระตุ้นจากสภาวะภายนอกหรือภายใน แล้วคงอยู่ชั่วคราวแล้วหายไป
  • การใช้ชีวิตให้มีความหมาย สามารถเป็นตัวกระตุ้นความสุขได้ แต่การให้ความหมายกับชีวิตก็คือความจริงในจินตนาการของโฮโมเซเปียนส์อย่างหนึ่ง
  • ผู้เขียนแนะนำการจัดการความสุข/ทุกข์ในทางพุทธศาสนา คือความสุขไม่ได้ขึ้นกับสภาวะภายนอกเท่านั้น แต่ขึ้นกับสภาวะภายใน แต่เราไม่ควรไขว่คว้าสภาวะทางเคมีที่แสนสั้น(สุข) หรือหลีกหนีสภาวะทางเคมีที่แสนสั้น(ทุกข์) แต่เป็นการทำความเข้าใจสภาวะทางเคมีเหล่านี้ ว่ามันวิวัฒนาการมาให้ทำงานแบบนี้
  • จุดจบของโฮโมเซเปียนส์อาจจะไม่ได้เป็นแบบเซเปียนส์สกุลอื่นในยุคโบราณ คือหายไป แต่อาจจะต่างออกไป เนื่องจากพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์/วิศวกรรมสมัยใหม่

ที่มาบทความ : medium.com/@potaeeddylunna