ตอนที่ 3 – ยุคแห่งการล่าสัตว์เก็บพืชผล
ทำไมเราถึงชอบกินของหวานและอาหารที่มีไขมัน?
ทำไมการรักเดียวใจเดียวจึงเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน?
ทำไมสัตว์ตัวใหญ่ๆ อย่างแมมมอธ เสือเขี้ยวดาบหรือจิงโจ้ยักษ์สูง 2 เมตรถึงสูญพันธุ์ไปหมด?
เราะมาหาคำตอบกันในตอนนี้ครับ
Homo Sapiens อย่างพวกเราอยู่กันมาสามยุคสามสมัยเราใช้ชีวิตแบบพนักงานโรงงานหรือพนักงานออฟฟิศมา 200 ปี หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก่อนหน้านั้น เราใช้ชีวิตแบบชาวไร่ชาวนาอยู่ถึง 12,000 ปี และก่อนหน้านั้น เราใช้ชีวิตแบบ “นักล่า-เก็บพืชผล” อยู่ถึง 60,000 ปี ช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่เราใช้ชีวิตแบบ Hunter-Gatherers หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า foragers (ผู้ออกหาอาหาร) นั้น มีผลอย่างมากต่อการหล่อหลอมสัญชาติญาณของเราในปัจจุบัน เราจึงควรกลับไปทำความเข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนกลุ่มนี้และ “รอยเท้า” ที่เขาได้ทิ้งเอาไว้ ความท้าท้ายอย่างหนึ่งของการศึกษาวิถีของชาว foragers ก็คือนอกจากเครื่องไม้เครื่องมือ และเศษกระดูกแล้ว พวกเขาไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เราศึกษาเลย (เพราะสมัยนั้นยังไม่มีภาษาเขียน) นักมานุษยวิทยาจึงถกเถียงกันโดยตั้งอยู่บนสมมติฐานและการอนุมานเอาเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงควรฟังหูไว้หูนะครับ
เหตุผลที่เราโปรดปรานของหวาน
เมื่อครั้งที่บรรรพบุรุษของเราเป็น forager นั้น ผู้ชายจะร้บหน้าที่ “ออกล่า” ส่วนผู้หญิงจะรับหน้าที่ “เก็บของป่า” สมัยนั้นยังไม่มีตู้เย็น อะไรก็ตามที่ล่าหรือเก็บมาได้จึงต้องใช้หรือกินให้หมดภายในวันสองวัน ไม่มีการเก็บอาหารเป็นเสบียงเอาไว้ เมื่ออาหารละแวกนั้นหมดก็ต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ ในทุ่งสะวันนา ที่เราเคยอาศัยอยู่ อาหารหวานที่มีพลังงานสูงนั้นหายากมาก และอาหารหวานชนิดเดียวที่คนสมัยนั้นจะหากินได้ก็คือผลไม้สุก ดังนั้นหากผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปเจอต้นไม้ที่มีผลไม้สุกงอมออกอยู่เต็มต้น สิ่งที่ดีที่สุด ที่เธอจะทำได้ก็คือเด็ดมันมากินให้มากที่สุด ก่อนที่ฝูงลิงบาบูนจะมาเจอและขนผลไม้กลับรังไปจนหมด สัญชาติญาณของการกินของหวานและอาหารที่มีไขมันอย่างมูมมามนี้เอง ที่ส่งผลให้มนุษย์ในปัจจุบัน หลงใหลและมักอดใจไม่ไหวเมื่อเจออาหารประเภทนี้
รวมกันเราอยู่
นักมานุษวิทยาเชื่อว่า เหล่า foragers นั้นอยู่กันเป็นชุมชนเล็กๆ ไม่มีความเป็นส่วนตัว ไม่มีทรัพย์สินส่วนบุคคล และแม้กระทั่งลูกก็ไม่ใช่ลูกของใครคนใดคนหนึ่ง! ผู้หญิงคนหนึ่งจะหลับนอนกับผู้ชายหลายคนในเผ่า ด้วยความเชื่อที่ว่าลูกจะได้ส่วนดีจากพ่อแต่ละคนมา พ่อคนหนึ่งอาจจะเป็นนักล่าที่เก่งที่สุด อีกคนหนึ่งอาจจะเป็นนักเล่าเรื่องที่สนุกที่สุด ส่วนอีกคนอาจจะเป็นนักรบที่องอาจที่สุด เด็กที่ออกมาจึงเป็น “ลูกของทุกคน” ในเผ่า (ชนเผ่าบารีในเวเนซูเอล่าก็ยังใช้ระบบ “พ่อหลายคน” นี้อยู่)
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่โลกสมัยนี้อัตราการหย่าร้างสูงขึ้นทุกที เพราะเราอยู่กันเป็น “ครอบครัวใหญ่” มาหลายหมื่นปี เพิ่งจะมาใช้ระบบครอบครัวเล็กและความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวมาเมื่อไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พันปีมานี้เอง (อ่านถึงตรงนี้ผมหวังว่าหลายๆ คนจะไม่ใช้ข้อมูลนี้เป็นข้ออ้างในการนอกใจนะครับ เพราะอย่างที่เตือนไว้ข้างต้นว่านี่เป็นเพียงสมมติฐาน แถมนักมานุษวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งก็ออกมาค้านแนวคิดนี้ โดยชี้ประเด็นว่า การที่สังคมในปัจจุบันซึ่งอยู่ต่างสถานที่ ต่างวัฒนธรรมล้วนมีความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียว ก็เป็นหลักฐานที่บ่งบอกอยู่แล้วว่ามนุษย์เรานั้นเหมาะกับสังคมแบบนี้)
ชีวิตที่น่าอิจฉา
จะว่าไป ชาว foragers นั้นมีวิถีชีวิตที่น่าอิจฉากว่าคนสมัยนี้ในบางแง่มุมด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างหญิงชาวจีนที่มีฐานะยากจนในสมัยนี้ ชีวิตของเธอจะมีอะไรมากไปกว่าการตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปนั่งทำงานอยู่ในโรงงานนรกเป็นเวลา 10-12 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาบ้านเพื่อทำอาหาร ล้างจาน ซักผ้าและล้มตัวนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะต้องตื่นมาเจอวันเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อ 30,000 ปีที่แล้ว หญิงชาวจีนจะได้ออกจากแคมป์ไปพร้อมเพื่อนสาวหลายคน เพื่อเสาะหาผลหมากรากไม้ เก็บเห็ด ขุดมัน จับกบ หรือบางครั้งก็วิ่งหนีเสือ ตอนบ่ายๆ ก็กลับมาถึงแคมป์เพื่อทำอาหารกินกัน จากนั้นเธอก็จะมีเวลาเหลือเฟือ ที่จะมานั่งเมาธ์มอยและเล่นกับลูก นอกจากวิถีชีวิตที่จะชิลล์กว่าแล้ว Foragers ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกหลายอย่าง
สมองใหญ่กว่า ใหญ่กว่าคนเราสมัยนี้ด้วยซ้ำ เพราะพวก foragers นั้นต้องทำอะไรเอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอาวุธ จุดไฟ ทำอาหาร ล่าสัตว์ คัดผลไม้ที่ไม่มีพิษ ฯลฯ ทำให้เหล่า foragers ได้ใช้สมองแทบจะทุกส่วน ในขณะที่คนสมัยใหม่อย่างเราๆ ทำอะไรเองแทบไม่เป็นเลย เน้นแต่ใช้เงินซื้ออย่างเดียว
สุขภาพแข็งแรงกว่า ด้วยความที่ต้องออกล่าทุกวัน แต่ละวันก็ได้เหยื่อต่างกันไป คนกลุ่มนี้ จึงได้กินอาหารที่หลากหลายได้รับโปรตีนและวิตามินมากกว่า ขณะที่คนรุ่นหลังๆ ที่เป็นชาวไร่ชาวนา มักจะได้กินแต่ข้าวหรือแป้งชนิดใดชนิดหนึ่งทุกวัน
มีโรคระบาด โรคระบาดนั้นมักจะเริ่มมาจากสัตว์เลี้ยงก่อน แต่คนยุคนั้นยังไม่ได้เริ่มเลี้ยงสัตว์ (ยกเว้นหมา) แถมการที่ไม่มีการสต๊อกอาหารและการย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ไม่มีหนูหรือสัตว์พาหะอื่นๆ มาก่อกวนหรือแพร่เชื้อได้
ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ เพราะไม่มีใครมีทรัพย์สินส่วนตัว จึงไม่มีการแก่งแย่งกัน ไม่มีการรบกับเผ่าอื่น เพื่อปล้นสะดมภ์ (เพราะไม่มีอะไรให้ปล้น) “ทรัพย์สิน” ที่สำคัญที่สุดที่คนๆ หนึ่งจะมีได้คือความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในเผ่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักมานุษวิทยาได้ตั้งชื่อสังคม foragers นี้ว่าเป็น “The Original Affluent Society” – สังคมมั่งมีแบบดั้งเดิม
ยึดครองออสเตรเลียและอเมริกา
แม้รุ่นพี่อย่าง Neanderthals และ Homo erectus จะอาศัยอยู่ในทวีปยุโรปและเอเชียมาตั้งแต่ 2 ล้านปีก่อนหน้า แต่รุ่นพี่ทั้งสองยังไม่เคยไปถึงทวีปออสเตรเลียหรือทวีปอเมริกาเลย มนุษย์เซเปี้ยน เดินทางไปถึงออสเตรเลีย ได้ด้วยการเดินเรือเมื่อ 45,000 ปีที่แล้ว โดยอาจจะเริ่มจาก การต่อเรือและออกหาปลาอยู่ตาม หมู่เกาะนับร้อยนับพันของอินโดนีเซียและก่อนจะจับพลัดจับผลูไปลงเอยที่ชายฝั่งตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย ส่วนทวีปอเมริกานั้น เหล่าเซเปี้ยนส์ไปถึงด้วยวิธีเดินเท้า เพราะสมัยนั้นระดับน้ำทะเลนั้นอยู่ในระดับต่ำ เสียจนเกิดแผ่นดินที่เชื่อมระหว่างไซบีเรีย (รัสเซีย) และอลาสก้า (อเมริกา) เหตุผลที่ Homo สายพันธุ์อื่นๆ ไม่เคยไปถึงอเมริกา ก็เพราะว่าไซบีเรียนั้นหนาวเกินไป แต่เซเปี้ยนส์นั้นฉลาดพอที่จะถักทอเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าหนาๆ ที่จะรองรับสภาพอากาศอันทารุณได้ จึงออกล่าสัตว์ใหญ่ที่มีสารอาหารเยอะอย่างแมมมอธและกวางเรนเดียร์ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เดินทางมาถึงอลาสก้าเมื่อประมาณ 14,000 ปีที่แล้ว
การเดินไปทางไปถึงทวีปออสเตรเลียโดยเหล่า Homo Sapiens ถือเป็นการเดินทางที่มีนัยยะทางประวัติศาสตร์พอๆ กับการค้นพบทวีปอเมริกาของโคลัมบัส และการพิชิตดวงจันทร์ของยานอพอลโล 11 เหตุผลที่เหตุการณ์นี้สำคัญมาก ก็เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ในทวีปแอฟริกา ยุโรป หรือเอเชียนั้น เหล่า Homo ล้วนวิวัฒนาการมาพร้อมๆ กับสัตว์ชนิดอื่นๆ ร่วม 2 ล้านปี จึงรู้ทางหนีทีไล่กันดี แต่สัตว์ที่อยู่ในออสเตรเลียหรืออเมริกานั้นไม่เคยเจอเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย มันจึงไม่มีสัญชาตญาณหรือทักษะใดๆ ที่จะต่อกร (หรือหลีกเลี่ยง) สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ หน้าตาคล้ายลิงที่เดินสองขานี้
ออสเตรเลียเคยเป็นที่อยู่ของสัตว์ยักษ์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นจิงโจ้สูง 2 เมตร, สิงโตที่มีกระเป๋าหน้าท้อง (marsupial lion), หมีโคอาล่าไซส์จัมโบ้ นกบินไม่ได้ที่ตัวใหญ่กว่านกกระจอกเทศสองเท่า และตัววอมแบทหนัก 2 ตัน ภายในเวลาแค่สองสามพันปีนับจากที่เหล่าเซเปี้ยนส์จอดเรือที่ชายฝั่งของทวีปออสเตรเลีย สัตว์ใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้ก็สูญพันธุ์ สรรพสัตว์ในทวีปอเมริกาก็เจอชะตากรรมไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแมมมอธ เสือเขี้ยวดาบ หนูตัวเท่าหมี สิงโตยักษ์ หรืออูฐอเมริกา (อเมริกาก็มีอูฐด้วย!) ต่างก็สูญพันธุ์ไปภายในเวลาไม่กี่พันปีหลังจากที่มนุษย์เข้ามายึดครองทวีปนี้
สัตว์ใหญ่ (ที่มีน้ำหนักเกิน 50 กิโลกรัม) มักจะโดนกระทบมากที่สุด เพราะมันไม่มีสัญชาติญาณในการระวังตัวจากมนุษย์ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือสัตว์กลุ่มนี้มักมีลูกคราวละไม่กี่ตัวและใช้เวลาตั้งครรภ์นาน ทำให้อัตราการเกิดไม่เพียงพอจะชดเชยกับอัตราที่มันถูกฆ่าจากนักล่าสายพันธุ์ใหม่ เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว มีสัตว์ใหญ่อยู่ทั่วโลกประมาณ 200 สายพันธุ์ แต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว โลกใบนี้ก็เหลือสัตว์ใหญ่เพียง 100 สายพันธุ์เท่านั้น
พวกเราเหล่า Homo Sapiens จึงเป็นภัยคุกคามทางธรรมชาติที่ใหญ่หลวงที่สุดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในตอนหน้า เราจะเข้าสู่ยุคแห่งการทำเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว และได้ชื่อว่าเป็น “การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” – History’s Biggest Fraud กันครับ
ที่มา: https://anontawong.com.